ประวัติศาสตร์"รักต้องห้าม" ในราชวงศ์โรมานอฟแห่งจักรวรรดิรัสเซีย

“รักต้องห้าม” ในราชวงศ์โรมานอฟแห่งจักรวรรดิรัสเซีย

ความรักเป็นสิ่งบริสุทธิ์ แต่บางครั้งขนบธรรมเนียมหรือความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมก็มีส่วนสำคัญในการกีดขวางความรักดังกล่าว

ในต้นศตวรรษที่ 20 สังคมรัสเซียเป็นสังคมอนุรักษ์นิยมที่ยึดมั่นในธรรมเนียมดั้งเดิมอย่างสูงล้ำ โดยเฉพาะในพระราชวงศ์โรมานอฟ กฎระเบียบต่างๆมีมากมายโดยเฉพาะเรื่องการแต่งงานที่ให้เหล่าแกรนด์ดยุคและแกรนด์ดัชเชสอภิเษกสมรสกับเชื้อพระวงศ์ด้วยกันเท่านั้น

แน่นอนว่าหลายพระองค์ไม่ต้องการจะปฏิบัติตาม โดยเฉพาะแกรนด์ดยุคและแกรนด์ดัชเชสหัวสมัยใหม่ทั้งหลาย กรณีฝ่าฝืนที่ดังที่สุดคือ กรณีของ แกรนด์ดัชเชสโอลกา อเล็กซานดรอฟนา น้องสาวคนสุดท้องของซาร์นิโคลัสที่ 2

คลุมถุงชน

ในวัยเพียง 18 ปี โอลกาเดินทางโรงละครกับดยุคปีเตอร์แห่งโอลเดนเบิร์ก ญาติห่างๆ คนหนึ่งของเธอที่มีอายุมากกว่าเธอถึง 14 ปี เธอไม่เคยรู้เลยว่าเธอกำลังจะโดนคลุมถุงชนให้แต่งงานกับชายผู้นี้

ในปีต่อมาปีเตอร์ก็ขอเธอแต่งงาน โอลกาถึงกับงงไปเลย เพราะเธอกับเขาไม่เคยรักกัน เธอได้แต่ตอบสั้นๆ ว่า “ขอบคุณ” เท่านั้น

งานแต่งงานดังกล่าวเป็นงานแต่งงานที่โอลกาไม่ต้องการเลย โอลกาไม่เคยรักปีเตอร์ เขาอายุมากกว่าเธอเกินไปและชอบเล่นพนัน นอกจากนี้ปีเตอร์น่าจะพวกรักร่วมเพศ โอลกาจะมีความสุขได้อย่างไรกับสามีที่ไม่เคยมองเธอในเชิงชู้สาว?

Grand Duchess Olga

สาเหตุเดียวที่ปีเตอร์ยอมแต่งงานกับโอลกาก็เพราะเงินเท่านั้น เขาหวังว่าเขาจะได้อะไรบ้างกับการแต่งงานกับน้องสาวของซาร์แห่งรัสเซีย เขาจะได้นำเงินดังกล่าวไปเล่นพนันตามที่เขาชอบ

ส่วนที่โอลกายอมแต่งงานก็เพราะว่า เธอปฏิเสธพระมารดาไม่ได้ หรือ อีกแง่เธออาจจะพยายามหลบหลีกการแต่งงานที่ทำให้เธอต้องย้ายไปอยู่ที่ต่างแดน

ทั้งสองอยู่ด้วยกันได้ไม่นาน ทุกอย่างก็ประจักษ์ชัดว่าการแต่งงานล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ในคืนแรกของการแต่งงาน โอลกานอนร้องไห้อยู่คนเดียว เพราะปีเตอร์เดินทางไปบ่อนตลอดคืนแล้วกลับมาในรุ่งเช้า! 

หลังจากนั้นเขาก็ไม่สนใจเธออยู่ดี โอลกาจึงมั่นใจว่าพระมารดาของเธอ ซาริซา มาเรีย ฟยอดอรอฟนา น่าจะกึ่งๆ บังคับให้ปีเตอร์แต่งงานกับเธอ

ต่อมาทั้งสองเดินทางไปฮันนีมูนในฝรั่งเศส ซึ่งเป็นไปอย่างจืดชืด ทั้งสองกลับมาอยู่ที่วังใหม่ที่ซาร์นิโคลัสที่ 2 ทรงมอบให้กับน้องสาวของพระองค์ วังดังกล่าวมี 200 ห้อง โอลกากับปีเตอร์กลับเลือกนอนคนละห้อง ห้องที่ทั้งสองเลือกอยู่คนละฝากของวังโดยสิ้นเชิง

การแต่งงานอันล้มเหลวทำให้โอลกาเริ่มเป็นโรคซึมเศร้า ผมของเธอเริ่มจะร่วง ทำให้เธอต้องใส่วิกทุกครั้งในเวลาที่ออกงานสังคม โอลกาจึงเริ่มใช้เวลาไปกับงานสังคมสงเคราะห์เช่นสร้างโรงเรียนและโรงพยาบาล ทำให้เธอมีความสุขขึ้นมาได้บ้าง

ถึงกระนั้นไม่ได้แปลว่าเธอจะเกลียดปีเตอร์ เพราะเขามีน้ำใจและเคารพเธอมาก แต่สิ่งที่เธอต้องการคือ ความรักและลูกหลายๆคน ทั้งสองสิ่งนั้นปีเตอร์ให้เธอไม่ได้นั่นเอง

รักต้องห้าม

เพราะความเบื่อหน่าย ทำให้โอลกากลับมาอยู่กับแกรนด์ดยุคมิคาอิลหรือไมเคิล พี่ชายของเธอ มิคาอิลแนะนำให้เธอรู้จักกับนายทหารม้าองครักษ์ผู้หนึ่งที่อยู่กรมกองเดียวกับเขา นายทหารผู้นั้นชื่อว่า นิโคไลย์ คูลิคอฟสกี้

โอลกาเล่าในหนังสือของเธอว่า เธอตกหลุมรักคูลิคอฟสกี้ทันทีตั้งแต่แรกพบ โอลกาจึงขอให้มิคาอิลช่วยเหลือให้เธอพบเจอกับเขาในงานเลี้ยงกลางวันในวันรุ่งขึ้น มิคาอิลทราบความนัย เขาจึงให้การช่วยเหลือ

หลังจากวันนั้น โอลกาและคูลิคอฟสกี้ก็อยู่ด้วยกันตลอดเวลาราวกับว่าตัวติดกัน เมื่อทั้งสองไม่ได้อยู่ใกล้กันก็จะแลกเปลี่ยนจดหมายกันอยู่สม่ำเสมอ ความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงเป็นคู่รักกัน แกรนด์ดัชเชสโอลกาทรงไม่แคร์กระแสสังคมหรือธรรมเนียมในวังสักนิดเดียว เข้าทำนอง

เรารักกัน คนอื่นจะว่าไงก็ช่างมันเถอะ

หลังจากนั้นไม่นาน โอลกาขอหย่าขาดกับปีเตอร์อย่างเป็นทางการ ปีเตอร์ยินยอมว่าจะยอมหย่าให้ แต่เกรงว่าความฉาวจะกระทบตระกูลของตน เขาจึงขอให้โอลการอไปก่อนอีกเจ็ดปี แลกกับการที่เขาจะแต่งตั้งให้คูลิคอฟสกี้เป็นนายทหารที่ปรึกษาของตน และสามารถเข้ามาอยู่ในวังของทั้งสองได้ โอลกายอมรับข้อเสนอแต่โดยดี

ข้อตกลงนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นความลับ แต่ความลับไม่มีในสังคมปาร๋ตี้และขี้เม้าท์อย่างเซนต์ปีเตอร์สเปิร์ก ข่าวฉาวของเธอเป็นที่ซุบซิบไปทั่วสังคมชั้นสูง

เจ็ดปีผ่านไป ปีเตอร์พร้อมที่จะหย่าให้แล้วแต่โอลกาก็ยังไม่ได้หย่าขาดเสียที สาเหตุสำคัญคือการแต่งงานและหย่าของสมาชิกในราชวงศ์จะต้องได้รับการยอมรับจากหัวหน้าครอบครัวอย่างซาร์นิโคลัสที่ 2 เสียก่อน โอลกาจึงขอให้พระองค์อนุญาตหลายต่อหลายครั้ง

ซาร์นิโคลัสดำริว่าการแต่งงานเป็นของสูง เพราะฉะนั้นแต่งงานแล้วก็ควรจะรักเดียวใจเดียว และพระองค์รู้ดีว่าถ้าน้องสาวหย่า เธอจะแต่งงานกับสามัญชนอย่างคูลิคอฟสกี้แน่ๆ พระองค์จึงยืนกรานว่าจะไม่หย่าให้ท่าเดียว เมื่อโอลกามาขอ พระองค์ก็ปฏิเสธ เรื่องเป็นแบบนี้อยู่อีกนานหลายปี

การหย่าและการแต่งงาน

เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มต้นขึ้น คูลิคอฟสกี้เดินทางไปแนวหน้ากับกองพันของเขา ตลอดเวลาโอลการู้สึกเป็นห่วงความปลอดภัยของเขามาก เธอจึงขอให้ซาร์นิโคลัสทรงย้ายคูลิคอฟสกี้กลับมายังเคียฟ เมืองที่เธอกำลังเป็นนางพยาบาลอยู่ ซาร์นิโคลัสทรงอนุญาต

ปลายปี 1916 ซาร์นิโคลัสเสด็จมาเยี่ยมโอลกาที่เคียฟ ในครั้งนี้ไม่ทราบว่าโอลกาทูลขออย่างไร ซาร์นิโคลัสทรงประกาศให้การแต่งงานของโอลกาเป็นอันจบสิ้น หลังจากนั้นโอลกาจึงแต่งงานกับคูลิคอฟสกี้แทบจะในทันทีที่เคียฟ

งานแต่งงานของทั้งสองเป็นไปอย่างเงียบๆ มีเพียงพระมารดาของเธอ ซาริซามาเรีย แกรนด์ดยุคอเล็กซานเดอร์ พี่เขยของเธอ เพื่อนพยาบาลของเธอสองคน และนายทหารสี่นายจากกองพันที่โอลกาเป็นผู้บังคับบัญชากิตติมศักดิ์เท่านั้นที่ได้เข้าร่วม

หากแต่ว่าอีกไม่กี่เดือนหลังจากการแต่งงานก็เกิดการปฏิวัติใหญ่ในรัสเซีย โอลกาและคูลิคอฟสกี้ได้นำเสด็จซารินามาเรียไปยังไครเมีย แต่ทั้งหมดกลับโดนคุมขังไว้ในพระราชวังแห่งหนึ่ง

ณ ที่นี่ คูลิคอฟสกี้ทำหน้าที่ออกไปข้างนอกและนำวัตถุดิบและอาหารกลับมาที่วัง ส่วนโอลกาก็ได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นแม่บ้าน ด้วยการซักผ้า ทำอาหาร ถึงแม้จะเป็นชีวิตแบบคนธรรมดา แต่โอลกากลับมีความสุขมากที่ได้ทำเช่นนี้

ที่ไครเมียนี้เองที่เธอตั้งครรภ์และคลอดลูกชายชื่อ ไทคอน โอลกาเลี้ยงลูกชายของเธอเอง อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเลยในราชวงศ์ เพราะโดยทั่วไปแล้ว ข้าราชบริพารจะเป็นคนเลี้ยงดูทารกเกิดใหม่อยู่เสมอ

บั้นปลาย

ในปี 1918 ซารินามาเรียและเชื้อพระวงศ์โรมานอฟส่วนหนึ่งเดินทางออกจากรัสเซียด้วยเรือของอังกฤษ แต่โอลกาและคูลิคอฟสกี้ตัดสินใจพำนักอยู่ในรัสเซียต่อไป

ส่วนหนึ่งเพราะว่าโอลกาไม่ได้ใช้นามสกุลโรมานอฟแล้ว แต่ใช้นามสกุลคูลิคอฟสกี้ ทำให้เธอค่อนข้างปลอดภัยจากพวกบอลเชวิค แต่เธอก็ไม่ได้ประมาท เธอกับคูลิคอฟสกี้หนีไปยังคอเคซัส คูลิคอฟสกี้ทำหน้าที่หาเงินมาเลี้ยงครอบครัวด้วยการไปทำงานในฟาร์ม ที่คอเคซัสนี้ทั้งสองได้มีลูกชายอีกคนหนึ่งชื่อ กูริ

ท้ายที่สุดแล้วทั้งสองไม่มีทางเลือกอื่น เพราะกองทัพแดงกำลังบุกเข้ามาใกล้ โอลกาและคูลิคอฟสกี้จึงเดินทางออกจากรัสเซีย ในปี 1919 นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ทั้งสองได้เห็นบ้านเกิดเมืองนอนของเธอ โอลกาและคูลิคอฟสกี้เดินทางไปยังเดนมาร์กเพื่อสมทบกับซารินามาเรียที่ประทับอยู่ที่นั่น

ทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ที่เดนมาร์กจนกระทั่งในปี 1945 โอลกาเกรงว่าเธอจะไม่ปลอดภัย เพราะรัฐบาลโซเวียตได้เขียนจดหมายมาถึงรัฐบาลเดนมาร์กกล่าวหาว่าเธอร่วมมือกับผู้ต่อต้านรัฐบาลโซเวียต

เธอและคูลิคอฟสกี้จึงตัดสินใจเดินทางไปอยู่ที่แคนาดา ทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันจนกระทั่งแก่เฒ่า คูลิคอฟสกี้เสียชีวิตในปี 1958 สองปีหลังจากนั้น โอลกาก็ตามเขาไป ทั้งสองได้รับการฝังเคียงคู่กันที่โตรอนโต ประเทศแคนาดา

Special Thanks to: https://www.romanovempire.org/

บทความประวัติศาสตร์

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!