ประวัติศาสตร์"การรัดเท้า" ประเพณีอันสุดแสนเจ็บปวดของผู้หญิงจีนโบราณ

“การรัดเท้า” ประเพณีอันสุดแสนเจ็บปวดของผู้หญิงจีนโบราณ

การรัดเท้าหรือฉานจู๋ (缠足) เป็นประเพณีเก่าแก่อันแสนเจ็บปวดของผู้หญิงจีนโบราณ กล่าวคือเท้าทั้งสองข้างของพวกเธอจะถูกรัดอย่างแน่นหนาตั้งแต่อายุประมาณ 4-7 ขวบ ทำให้เท้าสองข้างมีขนาดเล็กกว่าปกติ และผิดรูปไปจากเท้าตามธรรมชาติ

ในโพสนี้ เรามาดูกันครับว่าการรัดเท้าทำอย่างไร รวมไปถึงการเกิดขึ้นและล่มสลายของประเพณีดังกล่าวนี้

การรัดเท้า
การรัดเท้า

การรัดเท้าทำอย่างไร?

การรัดเท้ามักจะทำเมื่อเด็กสาวอายุได้เพียง 4-7 ขวบเท่านั้น เพราะกระดูกเท้าจะยังไม่โตสมบูรณ์ ทำให้ผู้ถูกรัดเท้าไม่เจ็บปวดมากนัก ส่วนมากแล้วการรัดเท้าจะทำโดยคนเฒ่าคนแก่ หรือ หมอรัดเท้าผู้เชี่ยวชาญ

เริ่มแรก ผู้ถูกรัดเท้าต้องนำเท้าทั้งสองข้างไปแช่ในน้ำสมุนไพรและเลือดสัตว์ก่อน ตามมาด้วยการตัดเล็บให้สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทั้งนี้ก็เพื่อทำให้เท้าอ่อนนุ่ม การรัดเท้าจะได้ทำได้ง่ายขึ้น

เมื่อเตรียมตัวเสร็จแล้ว ขั้นตอนที่เจ็บปวดที่สุดจะเริ่มต้นขึ้น นิ้วเท้าทั้งหมดจะถูกกดลงไปที่ฝ่าเท้า ซึ่งจะทำให้กระดูกนิ้วเท้าแตก หลังจากนั้นผ้าจะถูกนำมาหุ้มเท้าที่ถูกกดไปแล้วไว้โดยรอบ เมื่อห่อด้วยผ้าเสร็จแล้ว ผ้าจะถูกรัดอย่างแน่นหนาและเย็บด้วยผ้าชั้นนอกอีกทีหนึ่ง เด็กสาวที่ถูกรัดเท้าจะได้ไม่สามารถแกะผ้าออกมาด้วยตนเอง

เพียงเท่านี้ทุกอย่างก็เป็นอันเสร็จพิธี

อย่างไรก็ตามไม่ได้แปลว่า การรัดเท้าจะรัดแล้วรัดเลยไปชั่วชีวิต เท้าที่ถูกรัดจะถูกทำความสะอาดเป็นประจำด้วยการใช้น้ำ รวมไปถึงการตัดเล็บให้สั้นเช่นเดิม นอกจากนี้เท้าที่ถูกรัดยังจะต้องถูกนวดและกดเพื่อที่เท้าจะได้อ่อนนุ่มด้วย โดยทั่วไปแล้วชนชั้นสูงจะทำความสะอาดมันวันละครั้ง

สุดท้ายแล้วเท้าที่ถูกรัดจะชาไปอย่างสมบูรณ์ และเปลี่ยนรูปเป็นแบบตามที่ “ประเพณี” และ “จารีต” ว่าไว้ว่าสวยและเหมาะสมกับหญิงสาว

อย่างไรก็ตาม บ่อยครั้งที่เท้าที่ถูกรัดจะมีการติดเชื้อ เพราะเชื้อโรคที่หมักหมมอยู่ในเท้า นอกจากนี้การไหลเวียนของเลือดยังผิดปกติด้วย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในจีนโบราณ หญิงสาวจำนวนมากต้องตายเพราะการติดเชื้อในกระแสเลือด (septic shock) และการตายของเนื้อเท้า (gangrene)

นอกจากนี้การรัดเท้าทำให้เท้าที่ผิดธรรมชาติเคลื่อนไหวไม่สะดวก การทำงานในเรือกนาไร่สวนดำเนินไปด้วยความยากลำบาก เมื่อข้าศึกศัตรูรุกราน ผู้หญิงที่รัดเท้ายากที่หนีได้ทันด้วย

แล้วการรัดเท้าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และมีประโยชน์อะไรกันแน่?

รัดเท้า vs ไม่รัดเท้า
เท้าปกติ vs เท้าที่ถูกรัด

ต้นกำเนิดการรัดเท้า

มีตำนานมากมายที่อธิบายต้นกำเนิดของการรัดเท้า อาทิเช่นมีเรื่องเล่าว่า ผานยี่ว์หนู สนมเอกของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หนานฉี (ช่วงศตวรรษที่ 5) มีเท้าที่เล็กและอ่อนนุ่ม เมื่อเธอเต้นรำ เธอจึงงดงามมากเหมือนกับว่ามีดอกบัวผุดขึ้นมาทุกย่างก้าวของเธอตามตำนานพระโพธิสัตว์กวนอิมของจีน

อย่างไรก็ตามไม่มีหลักฐานประวัติศาสตร์ร่วมสมัยที่บอกว่าผานยี่ว์หนูเคยรัดเท้า เท้าของเธอน่าจะเป็นเช่นนั้นโดยธรรมชาติ

นอกเหนือจากตำนานเหล่านี้แล้ว ยังมีตำนานว่า ไซซี หนึ่งในสี่ยอดหญิงงามของจีนเคยรัดเท้าด้วย ถ้าเรื่องนี้เป็นความจริง นั่นเท่ากับว่าประเพณีการรัดเท้าสามารถย้อนไปได้ถึงยุคชุนชิวเลยทีเดียว หากแต่ว่าเรื่องนี้ก็ไม่มีหลักฐานใดมายืนยันได้เช่นกัน ทำให้มันเป็นตำนานเช่นเดิม

ตำนานที่น่าจะเกี่ยวข้องกับต้นกำเนิดการรัดเท้าอีกเรื่องหนึ่งคือ ตำนานของเย่เซี่ยน หรือซินเดอเรลล่าแบบจีน เพราะเท้าของเธอเล็ก เธอจึงสามารถใส่รองเท้าได้แต่เพียงผู้เดียว ทำให้เธอได้แต่งงานกับกษัตริย์ในเวลาต่อมา ซึ่งเรื่องนี้ก็เหมือนเรื่องอื่นๆ นั่นคือเป็นแค่ตำนานที่ไม่มีมูลความจริง

นักประวัติศาสตร์มองว่าการรัดเท้าน่าจะเกิดขึ้นมาในสมัยกลางศตวรรษที่ 10 หรือยุคห้าราชวงศ์สิบรัฐ ยุคสั้นๆ ที่เกิดขึ้นหลังสมัยราชวงศ์ถังล่มสลาย

เรื่องมีอยู่ว่า หลี่ยี่ว์ จักรพรรดิแห่งราชวงศ์หนานถังได้สร้างรูปปั้นดอกบัวขนาดใหญ่ขึ้นมาและเพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง เขาได้สั่งให้เหย่าเหนียง สนมคนหนึ่งของเขามัดเท้าเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว และขึ้นไปยืนเต้นรำบนรูปปั้นดอกบัวด้วยเท้าที่ถูกมัดดังกล่าว

ปรากฏว่าเหย่าเหนียงเต้นรำโดยใช้เท้าที่ถูกรัดได้งดงามมาก ทำให้หญิงในวังคนอื่นเอาเป็นตัวอย่างบ้าง ในเวลาไม่นานประเพณีนี้ก็ได้แพร่กระจายออกไปนอกวัง ชนชั้นสูงจีนจึงเริ่มทำตาม และลามไปถึงประชาชนคนทั่วไปในที่สุด

ในปัจจุบันหลักฐานทางโบราณคดีเกี่ยวกับการรัดเท้าที่เก่าแก่ที่สุด คือโครงกระดูกอายุกว่า 700 ปีที่มีที่มาจากปลายราชวงศ์ซ่ง เท้าของพวกเธอมีขนาดเล็กประมาณ 6 นิ้ว ซึ่งก็ยังไม่เล็กเท่าในเท้าของโครงกระดูกศตวรรษที่ 16 ที่มีขนาดประมาณ 3 นิ้วเท่านั้น นี่แสดงให้เห็นว่าการรัดเท้าเริ่มสุดโต่งมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงราชวงศ์หมิง

สิ่งที่น่าสนใจประเด็นถัดมาคือ ประโยชน์ของมันคืออะไร?

การรัดเท้าเกิดขึ้นเพราะมันเป็นแฟชั่นที่แสดงถึงความสวยงาม หรือ แม้กระทั่งความอีโรติกในสมัยโบราณ เท้ากลายเป็นหนึ่งในของลับของสตรีจีนโบราณทำนองเดียวกับหน้าอก ถึงขนาดที่คัมภีร์เพศศึกษาสมัยราชวงศ์ชิงได้บันทึก “ท่วงท่า” ที่เกี่ยวกับเท้าที่ถูกรัดไว้ถึง 48 รูปแบบด้วยกัน

บ้างก็ว่าการรัดเท้าทำให้ท่วงท่าการเดินของหญิงสาวจีนดูน่ารักทะนุถนอม และดึงดูดเพศตรงข้ามมากกว่าเท้าปกติที่ดู “หยาบกระด้าง” นานวันเข้าการรัดเท้าได้กลายเป็นจารีตและประเพณีที่สำคัญ หญิงสาวที่มีเท้าสวยงามตามประเพณีมักจะได้คู่แต่งงานที่ดีอยู่เสมอ

หญิงจีนที่รัดเท้า
ชนชั้นสูงกับเท้าที่ถูกรัดของเธอ

การล่มสลายของการรัดเท้า

ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับประเพณีการรัดเท้ามีมาตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 13 แล้ว นักปราชญ์จีนคนหนึ่งได้วิจารณ์ว่า

พวกเด็กผู้หญิงยังไม่ทันมีอายุสี่หรือห้าขวบดี และไม่ได้ทำอะไรผิดด้วย แต่พวกเธอกลับต้องมาเจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัสเพื่อรัดเท้าให้เล็ก ฉันไม่ทราบจริงๆ ว่าประโยชน์ของมันคืออะไร

ในสมัยราชวงศ์ชิง คังซีฮ่องเต้เคยพยายามห้ามไม่ให้มีการรัดเท้า แต่ไม่เป็นผล หญิงจีนทุกคนยังรัดเท้าเช่นเดิม มิหนำซ้ำการรัดเท้ายังกลายเป็นข้อบังคับสำคัญของการหาคู่ด้วย

กระแสต่อต้านการรัดเท้าเริ่มมาจากชาวคริสต์ เหล่ามิชชันนารีตะวันตกที่เข้ามาเผยแผ่ศาสนาและเปิดโรงเรียนสอนหญิงแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่สนับสนุนให้นักเรียนหญิงของโรงเรียนรัดเท้า เพราะเป็นประเพณีที่ป่าเถื่อนและล้าหลัง

นานวันเข้าชาวจีนเองก็เริ่มตาสว่างและเห็นว่าจริงอย่างที่พวกมิชชันนารีว่าไว้ ผู้หญิงจีนในภาคใต้ของประเทศจึงเริ่มก่อตั้งสมาคมแอนตี้การรัดเท้า และสนับสนุน “เท้าธรรมชาติ” ขึ้นมาอย่างเป็นทางการในช่วงปลายศตวรรษที่ 19

หญิงจีนในสมัยราชวงศ์ชิง
หญิงจีนกับกับเท้าที่เล็กมากของเธอ By Bundesarchiv, Bild , CC BY-SA 3.0 de,

อิทธิพลของชาวตะวันตกที่เพิ่มขึ้นหลังสงครามฝิ่นยิ่งทำให้ปัญญาชนและชนชั้นนำจีนได้รับแนวคิดตะวันตกมามากขึ้น ภายในเวลาไม่นาน ปัญญาชนจีนหัวใหม่จึงพุ่งเป้าไปที่การรัดเท้าว่าเป็นความล้าหลังที่ต้องถูกทำลาย กระแสการต่อต้านการรัดเท้าจึงลามไปทั่วประเทศจีน

หลังจากการปฏิวัติซินไฮ่ที่ล้มราชวงศ์ชิง กระแสการต่อต้านการรัดเท้ายิ่งรุนแรงขึ้น กลุ่มนักศึกษาที่ชุมนุมในการเคลื่อนไหว “วันที่ 4 พฤษภาคม” ต่างโจมตีว่า การรัดเท้าเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของความล้าหลังของจีน คนรุ่นใหม่จีนจึงปฏิเสธการรัดเท้าอย่างรุนแรง

การต่อต้านการรัดเท้าได้รับการตอบรับอย่างดีโดยรัฐบาลและกลุ่มขุนศึกทั้งหลาย รัฐบาลจีนออกกฎหมายว่าใครที่รัดเท้าบุตรสาวตนเองจะต้องถูกปรับ การรัดเท้าหญิงสาวจึงลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว ผู้หญิงจีนรุ่นใหม่ไม่ได้รัดเท้าเช่นเดิม หญิงสาวที่รัดเท้าย่อมเหลือน้อยลงไปตามลำดับ

เมื่อรัฐบาลคอมมิวนิสต์ขึ้นมามีอำนาจ แน่นอนว่าการรัดเท้าย่อมถูกถอนรากถอนโคนเพราะเป็นประเพณีเก่าของพวกอภิสิทธิ์ชน หลังปี ค.ศ.1949 การรัดเท้าหายไปเกือบจะทั้งหมดแล้ว เหลือแต่บางเคสในบริเวณชนบทที่รัฐบาลควบคุมไม่ได้เท่านั้น

ปัจจุบันผู้หญิงจีนไม่ต้องรัดเท้าอีกต่อไปแล้ว แต่ทว่าหญิงชราที่เคยรัดเท้าและมีเท้าเล็กหลายคนยังมีชีวิตอยู่ ภายในเวลาอีกไม่กี่ทศวรรษ ประเพณีการรัดเท้าน่าจะสูญหายไปจากโลกโดยสมบูรณ์

Sources:ฺฺฺ

  • Chinese Foot Binding, BBC
  • Beverley, Splendid Slippers: A Thousand Years of an Erotic Tradition
  • Levy, The Lotus Lovers: The Complete History of the Curious Erotic Tradition of Foot Binding in China

บทความประวัติศาสตร์

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!