ตุนหวง (Dunhuang) เป็นเมืองขนาดเล็กในมณฑลกานซู หนึ่งในมณฑลที่แห้งแล้งที่สุดของจีน ถ้าผมอธิบายแค่นี้ ผมเชื่อว่าคงไม่มีใครคิดว่าเมืองแห่งนี้จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คุณควรจะมาเยือนสักครั้งหนึ่ง
จริงๆ แล้วตุนหวงเป็นเมืองที่น่าสนใจมากแห่งหนึ่งของจีน ตัวเมืองตั้งอยู่ที่โอเอซิสกลางทะเลทราย และมีประวัติความเป็นมาอย่างน้อยสามพันปี ในฐานะที่เป็นเมืองค้าขายสำคัญในเส้นทางสายไหมโบราณ นั่นทำให้ตุนหวงมีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ถึงขั้นเป็นมรดกโลกอีกด้วย
ในโพสนี้เราจะไปดูกันครับว่าตุนหวงมีสถานที่เที่ยวไหนที่น่าสนใจ และก่อนอื่นเรามาดูความเป็นมาของเมืองกันก่อนดีกว่า
รู้จักตุนหวง (Dunhuang)
ตุนหวง (Dunhuang) เป็นโอเอซิสกลางทะเลทรายอันกว้างใหญ่ และอยู่ทางตะวันตกสุดของมณฑลกานซู ติดกับชายแดนของมณฑลซินเจียง มณฑลที่ใหญ่ที่สุดของจีนครับ
ในอดีตกาล ตุนหวงเป็นดินแดนในปกครองของหลากหลายชนเผ่าไม่ว่าจะเป็นเผ่าเยว่จือ หรือ ซงหนู แต่หลังจากที่ฮั่นหวู่ตี้เอาชนะพวกซงหนูได้สำเร็จ ตุนหวงได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ฮั่นนับตั้งแต่บัดนั้น
ตุนหวงและโอเอซิสได้กลายเป็นจุดแวะพักของพ่อค้าที่เดินทางไปมาจากเปอร์เซียและอินเดียมายังฉางอาน (ซีอาน) และลั่วหยาง สองเมืองหลวงของจีน นอกจากนี้ราชสำนักฮั่นยังสร้างป้อมปราการส่วนต่อขยายของกำแพงเมืองจีนเพื่อคอยป้องกันพวกชนเผ่าที่อาจจะมารุกรานด้วย
ในปัจจุบันป้อมปราการดังกล่าวก็ยังอยู่ครับ แม้จะอยู่ในสภาพทรุดโทรมอย่างมากแล้วก็ตาม
ต่อมาในสมัยราชวงศ์สุยและถัง ตุนหวงได้กลายเป็นเมืองการค้าที่สำคัญที่สุดเมืองหนึ่งในเส้นทางสายไหม เพราะตุนหวงเป็นจุดบรรจบของเส้นทางสายไหมสายเหนือ กลาง และใต้ ก่อนที่จะเข้าสู่ตอนกลางของจีนนั่นเองครับ
ด้วยความที่ศาสนาพุทธเผยแพร่มาจากอินเดียสู่จีนผ่านทางเส้นทางสายไหม ตุนหวงจึงเป็นเมืองลำดับแรกๆ ของจีนที่ได้เข้าถึงศาสนาพุทธ ในช่วงเวลานั้นมีพุทธศาสนิกชนไม่น้อยในตุนหวง พวกเขาได้สร้างถ้ำโม่เกาขึ้นเพื่อให้พระสงฆ์ปฏิบัติธรรม แต่ตัวถ้ำได้พัฒนาเป็นสถานที่แสวงบุญในเวลาต่อมาครับ
ตุนหวงเป็นเมืองที่มีเชื้อชาติหลากหลายมาก ส่วนหนึ่งเพราะตุนหวงเคยถูกครอบครองโดยชนชาติอื่นๆ ด้วย อย่างเช่นชาวทิเบต ชาวอุยกูร์ ชาว Tanguts ชาวมองโกล ฯลฯ ในช่วงที่จีนอ่อนแอ (หลังช่วงราชวงศ์ถัง) ทุกวันนี้อิทธิพลของชนชาติเหล่านี้ยังปรากฏอยู่ในวัฒนธรรมของเมืองครับ
ในช่วงศตวรรษที่ 14-15 การค้าทางทะเลเริ่มเฟื่องฟู ทำให้เส้นทางสายไหมสูญเสียความสำคัญทางการค้าไปอย่างสมบูรณ์ ราชสำนักหมิงที่ปกครองจีนอยู่ในเวลานั้นจึงยิ่งไม่ใส่ใจที่จะตีชิงตุนหวงกลับคืนมา ตุนหวงอยู่ในกำมือของชาติอื่นๆ จนกระทั่งในปี ค.ศ.1715 ราชวงศ์ชิงได้ตีเมืองตุนหวงกลับคืนมาได้สำเร็จ
นับตั้งแต่บัดนั้นจนถึงปัจจุบัน ตุนหวงจึงอยู่ในการปกครองของจีน แต่ตุนหวงไม่ได้มีความสำคัญเหมือนกับในอดีตอีกแล้ว บริเวณที่เมืองตั้งอยู่เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ยากจนที่สุดของจีน และมีความกันดารเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ
อย่างไรก็ดีในระยะหลังตุนหวงได้รับความสนใจอย่างมากมายในฐานะเมืองท่องเที่ยว เพราะว่าภูมิประเทศที่แปลกตา ตลอดจนแหล่งโบราณสถานอันล้ำค่าใจกลางทะเลทราย ปัจจุบันเราอาจจะกล่าวได้ว่าตุนหวงเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับ 1 ในทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจีนเลยก็ว่าได้ครับ
ถัดไปเราไปดูกันดีกว่าครับ ตุนหวงมีสถานที่ท่องเที่ยวไหนน่าไปบ้าง?
1. Mogao Caves
Mogao Caves หรือถ้ำโม่เกาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของเมืองตุนหวง ถ้ำโม่เกาเป็นวัดถ้ำในศาสนาพุทธที่ตั้งอยู่กลางทะเลทราย ในปัจจุบันถ้ำแห่งนี้มีอายุมากกว่า 1,600 ปีแล้ว และยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์มาก
จำนวนถ้ำย่อยทั้งหมดมีถึง 492 ถ้ำ แต่ละถ้ำมีงานพุทธศิลป์อันทรงคุณค่ามากมาย ไม่ว่าจะเป็นภาพเขียนสีหรือพระพุทธรูปที่สวยงามจำนวนมหาศาล องค์พระพุทธรูปมีตั้งแต่สูง 34.5 เมตรไปจนถึงสูงแค่ 2 เซนติเมตร (เหมือนกับถ้ำหลงเหมินที่ลั่วหยาง) มีผู้เปรียบเปรยถ้าจะจัดแสดงงานพุทธศิลป์ภายในถ้ำทั้งหมดจะต้องใช้พิพิธภัณฑ์ที่ยาวถึง 25 กิโลเมตรทีเดียวครับ
ถ้าคุณสังเกตดีๆ รูปลักษณ์และคุณภาพของภาพเขียนในถ้ำแต่ละแห่งจะต่างกัน นั่นเพราะตัวถ้ำผ่านการสร้างและแต่งเติมมานานนับพันปี ศิลปะที่ใช้จึงแตกต่างกันไป นอกจากนี้งบและทุนทรัพย์ของแต่ละยุคก็ยังไม่เท่ากัน ทำให้บางส่วนจะตระการตากว่าส่วนที่เหลืออย่างชัดเจนครับ
ถ้ำโม่เกาอยู่ห่างจากตัวเมืองตุนหวง 25 กิโลเมตร การเดินทางไปถ้ำโม่เกาจากตุนหวงไม่ยากอะไรนัก คุณสามารถนั่งรถบัสไปจากสถานีรถไฟของเมืองเลยครับ
2. Crescent Lake
Crescent Lake หรือ ทะเลสาบพระจันทร์เสี้ยว (เย่ว์หยาเฉวียน) เป็นทะเลสาบที่มีทิวทัศน์แปลกตา และเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าตุนหวงเป็นเมืองโอเอซิสอย่างแท้จริง
โดยรอบทะเลสาบจะเป็นทะเลทรายทั้งหมด มีแต่เพียงบริเวณทะเลสาบเท่านั้นที่มีน้ำผุดขึ้นมาจากพื้นดิน ใกล้กับทะเลสาบมีสิ่งก่อสร้างแบบจีนโบราณตั้งอยู่
ทะเลสาบแห่งนี้มีเป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา 100% และปรากฏในหน้าบันทึกทางประวัติศาสตร์มาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นแล้วครับ
ตัวทะเลสาบห่างจากเมืองตุนหวงประมาณ 6 กิโลเมตร คุณสามารถนั่งรถบัสหมายเลข 3 หรือแท็กซี่เพื่อเดินทางไปชมได้จากตัวเมืองตุนหวงครับ
3. Mingsha Shan
Mingsha Shan หรือ Singing Sand Dunes เป็นเนินทรายในทะเลทรายที่ตั้งอยู่ใกล้กับ Crescent Lake และเป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับนักท่องเที่ยว
เนินทรายแห่งนี้มีความแปลกอยู่ นั่นเพราะเมื่อคุณหรืออูฐที่คุณกำลังขี่อยู่ก้าวเท้าไปตามสันทรายที่นี่ ทรายจะให้กำเนิดเสียงสะท้อนที่ฟังแล้วเหมือนกับดนตรี บางคนเปรียบว่าพอเดินไปได้สักพักจะได้ยินเหมือนเสียงฟ้าผ่าหรือเสียงกลอง ในส่วนนี้ก็แล้วแต่คุณจะจินตนาการครับ
ดังนั้นเพื่อสัมผัสประสบการณ์เหล่านี้ นักท่องเที่ยวจึงมักจะขี่อูฐขึ้นลงเนินทราย ส่วนวิธีการเดินทางมาจากเมืองเหมือนกับ Crescent Lake เลยครับ
4. Yumen Pass/Hecang Fortress
Yume Pass หรือด่านยีว์เหมินเป็นส่วนที่เหลือของกำแพงเมืองจีนฝั่งตะวันตกที่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ฮั่น เพื่อคอยระวังป้องกันผู้รุกรานที่อาจจะคุกคามการค้าขายอันเฟื่องฟูในเส้นทางสายไหม ในอดีตด่านแห่งนี้เคยมีปราสาทขนาดใหญ่ถึง 2 แห่ง หอคอย 20 แห่ง และป้อมปราการอีก 17 แห่งด้วยกัน
ในปัจจุบันสิ่งที่เหลืออยู่คือส่วนของปราสาท ซึ่งเป็นเศษเสี้ยวของความยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่มันก็ทรงคุณค่าเพราะเป็นโบราณสถานไม่กี่แห่งที่หลงเหลือมาจากสมัยราชวงศ์ฮั่นครับ
การเดินทางออกไปด่านยีว์เหมินค่อนข้างยาก คุณน่าจะต้องเช่ารถแท็กซี่หรือมินิบัสออกไปเอง โดยด่านแห่งนี้อยู่ห่างจากตุนหวงประมาณ 90 กิโลเมตรครับ
ห่างจากด่านยีว์เหมินไม่ไกลนักคือ ซากเมืองและป้อมปราการเก่าของเมืองเหอชาง (Hecang Fortress) ที่สร้างขึ้นในสมัยฮั่นเช่นเดียวกับด่านยีว์เหมินครับ
5. Dunhuang Great Wall
Dunhuang Great Wall เป็นส่วนของกำแพงเมืองจีนที่เก่าแก่ที่สุด และหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน
ตัวกำแพงสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ฮั่นและมีอายุมากกว่า 2,000 ปี วัสดุที่ใช้สร้างกลับไม่ใช่หินและอิฐเหมือนกับกำแพงทั่วไป แต่วิศวกรในยุคนั้นใช้ทรายและหญ้าเป็นวัสดุในการสร้าง
แม้ว่าจะเป็นวัสดุที่ไม่น่าจะเข้าท่า แต่ปรากฏว่ามันแข็งแรงมาก ทำให้บางส่วนของกำแพงผ่านกาลเวลาอันยาวนานมาได้ถึง 20 ศตวรรษ แม้ว่ามันจะไม่ได้รับการดูแลรักษาเลยก็ตาม
ส่วนของกำแพงที่พอเป็นรูปเป็นร่างเหลืออยู่ประมาณ 400 เมตร ส่วนที่เหลือจะเห็นเป็นซากหอคอย และกำแพงที่ถูกแยกขาดออกจากกัน ซึ่งหอคอยเหล่านี้เคยใช้ส่งสัญญาณในยุคโบราณครับ
เนื่องจากตัวกำแพงอยู่ไกลจากด่านยีว์เหมิน คุณสามารถไปชมได้ในคราวเดียวครับ
6. Yang Pass
Yang Pass หรือด่านหยาง เป็นอีกด่านหนึ่งที่ปกป้องชายแดนของแผ่นดินจีนจากผู้รุกรานจากตะวันตกในสมัยราชวงศ์ฮั่น ที่นี่เคยมีป้อมปราการขนาดใหญ่ แต่ในปัจจุบันสิ่งที่เหลืออยู่คือหอคอยสังเกตการณ์อยู่บนภูเขาเท่านั้นครับ
ใกล้กับหอคอยมีพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงโบราณวัตถุที่พบใกล้กับด่านหยางและด่านยีว์เหมิน ไม่ว่าจะเป็นของมีค่าต่างๆ อาวุธ หรือเครื่องสำริด
ในอดีตที่นี่จะเป็นด่านสุดท้ายก่อนที่คุณจะเดินทางออกไปนอกแผ่นดินจีน ทุกวันนี้ที่ด่านจึงมีการแสดงที่จำลองให้คุณเหมือนกับนักท่องเที่ยวในยุคโบราณจริงๆ คุณจะได้รับพาสปอร์ตแบบยุคโบราณที่ประทับตราเรียบร้อยราวกับว่าคุณกำลังจะออกจากอาณาจักรจีน และสาวสวยในชุดพื้นเมืองจะมาเต้นรำส่งคุณออกนอกด่านด้วยครับ
เช่นเดียวกับ Yumen Pass การเดินทางไป Yang Pass จะต้องใช้การเช่ารถแท็กซี่เท่านั้น โดยตัวด่านห่างจากตุนหวงประมาณ 70 กิโลเมตรครับ
7. Western Thousand Buddha Caves
Western Thousand Buddha Caves หรือซีเชียนโฝต้ง เป็นอีกหนึ่งวัดถ้ำสำคัญของตุนหวง แม้ว่าจะไม่ใหญ่เท่าถ้ำโม่เกา แต่ตัวถ้ำแห่งนี้อาจจะเก่ากว่าเสียอีก ภายในถ้ำมีพระพุทธรูปอันวิจิตรประณีตหลายสิบองค์ และยังมีภาพเขียนสีฉูดฉาดอันเก่าแก่อีกเป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ดีตัวถ้ำย่อยบางแห่งได้รับความเสียหายและอยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์เท่าไรนัก ในปัจจุบันถ้ำที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมจึงมีเพียง 10 ถ้ำเท่านั้น แต่ว่าในแต่ละถ้ำก็งดงามไม่แพ้ที่ถ้ำโม่เกาเลยครับ
ตัวถ้ำห่างจากตุนหวง 35 กิโลเมตร วิธีไปที่ง่ายที่สุดคือการเช่ารถแท็กซี่ไปเช่นเดิมครับ
8. Baima Pagoda
Baima Pagoda หรือเจดีย์ม้าขาวตั้งอยู่ห่างจากกลางเมืองตุนหวงประมาณ 2 กิโลเมตร ตัวเจดีย์เคยถูกสร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 4 เพื่อระลึกถึงม้าสีขาวที่ทำหน้าที่ขนพระไตรปิฎกมายังดินแดนจีน และได้ป่วยตายลงที่ตุนหวง ชาวพุทธจึงสร้างเจดีย์เก้าชั้นขึ้นที่นี่ ตามอายุของม้าที่มีอายุได้ 9 ปีเมื่อมันจากไปครับ
อย่างไรก็ดีเจดีย์เก่าในสมัยศตวรรษที่ 4 ได้ถูกทำลายไปนานแล้ว สิ่งที่คุณเห็นคือเจดีย์ทรงสูงแบบลามะตามศิลปะสมัยราชวงศ์หมิงที่สร้างขึ้นใหม่ในสมัยศตวรรษที่ 19 ครับ
วิธีไปที่ง่ายที่สุดคือแท็กซี่ครับ
9. Dunhuang Museum
การเดินทางมาเมืองอันเก่าแก่เช่นนี้คงไม่ครบจบสมบูรณ์ ถ้ายังไม่ได้เดินทางมาที่พิพิธภัณฑ์ครับ
Dunhuang Museum เก็บรักษาโบราณวัตถุที่ค้นพบจากโบราณสถานทั้งหลายรายรอบเมืองตุนหวง วัตถุบางชนิดเป็นหลักฐานสำคัญที่อธิบายถึงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองที่มาจากหลายเชื้อชาติในยุคโบราณได้เป็นอย่างดีครับ
วิธีไปที่ง่ายที่สุดคือนั่งรถบัสหมายเลข 3 ครับ
10. Yardang National Geopark
Yardang National Geopark เป็นอุทยานที่มีแท่งหินรูปร่างแปลกตาเป็นจำนวนมาก แท่งหินเหล่านี้ถ้าดูเผินแล้วเหมือนกับซากโบราณสถาน แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ครับ หินเหล่านี้ถูกกัดเซาะโดยแรงลมทางธรรมชาตินานกว่า 700,000 ปีจนมีรูปร่างอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
อย่างไรก็ดีชาวพื้นเมืองมีตำนานเล่าว่าอุทยานแห่งนี้จริงๆเป็นเมือง แต่ถูกเทพเจ้าสาปเพราะคนในเมืองชั่วร้าย มันจึงกลายมาเป็นสภาพนี้ นับตั้งแต่บัดนั้นมันจึงมีชื่อเล่นว่า “เมืองมาร” (Devil City) ครับ
นักท่องเที่ยวมักจะเช่ารถสำรวจอุทยานแห่งนี้ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง ไฮไลท์ของอุทยานคือการชมดวงอาทิตย์ตกดินเหนือก้อนหินขนาดยักษ์เหล่านี้ครับ
วิธีไปที่ง่ายที่สุดคือ นั่งรถแท็กซี่หรือรถเช่าอื่นๆ แต่ผมบอกได้เลยว่าราคาแพงพอสมควร เพราะอุทยานแห่งนี้ห่างจากตัวเมืองมากกว่า 100 กิโลเมตรครับ
ไปเที่ยวตุนหวง (Dunhuang) อย่างไรดี?
ตุนหวง (Dunhuang) เป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ทางทิศตะวันตกของจีน คุณสามารถเดินทางโดยเครื่องบินจากกรุงเทพไปยังตุนหวงได้ แต่ต้องแวะเปลี่ยนเครื่อง 1-2 ครั้ง หรือว่าบินไปลงหลันโจวก่อน และนั่งรถบัสหรือรถไฟความเร็วสูงมายังตุนหวงก็ได้ครับ
ปัญหาสำคัญของการเที่ยวเมืองตุนหวงด้วยตนเองคือ สถานที่ทุกแห่งล้วนแต่อยู่นอกเมือง และการคมนาคมไม่สะดวกเลย ทำให้คุณต้องเช่ารถแท็กซี่หรือรถเช่าอื่นๆ ซึ่งมีราคาสูงถึงสูงมาก
ช่วงเวลาที่เหมาะกับการไปเที่ยวตุนหวงมากที่สุดคือ ช่วงเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคมครับ เพราะอากาศช่วงกลางวันและกลางคืนจะแตกต่างไม่มากนัก ช่วงอื่นอาจจะหนาวมากหรือผจญกับพายุทรายครับ ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับการท่องเที่ยวเท่าไรนัก
[sc name=”travelthai” ][/sc]