ท่องเที่ยวสวนสนุกดิสนีย์เวิลด์ (Disney World) ฟลอริดา มีอะไรน่าเล่นน่าดูบ้าง

สวนสนุกดิสนีย์เวิลด์ (Disney World) ฟลอริดา มีอะไรน่าเล่นน่าดูบ้าง

ดิสนีย์เวิลด์ (Disney World) หรือชื่อเต็มๆว่า วอลท์ ดิสนีย์เวิลด์ (Walt Disney World) เป็นสวนสนุกของดิสนีย์ที่มีขนาดใหญ่กว่าดิสนีย์แลนด์อื่นๆ บนโลกใบนี้ เราอาจจะพูดได้ว่าถ้าได้มาเที่ยว Disney World แล้ว ดิสนีย์แลนด์ในที่อื่นๆ ก็ไม่ต้องไปแล้วด้วยซ้ำไป

มหาสวนสนุกแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้กับเมือง Orlando รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา เรามาดูกันดีกว่าครับว่า Disney World แห่งนี้มีอะไรน่าเล่นบ้าง

แนะนำดิสนีย์เวิลด์

Walt Disney World ประกอบไปด้วยสวนสนุก (Theme Park) ขนาดใหญ่จำนวน 4 แห่งได้แก่

  • Magic Kingdom
  • Disney’s Hollywood Studios
  • Disney’s Animal Kingdom
  • Epcot

นอกจากนี้ยังมีสวนน้ำอีกสองแห่งประกอบด้วย

  • Disney’s Typhoon Lagoon
  • Disney’s Blizzard Beach

จากที่เคยได้ไปมา ผมบอกเลยว่าตัวสวนสนุกแต่ละแห่งนี่ใหญ่มาก แต่ละแห่งเราสามารถใช้เวลาได้อย่างน้อย 1 วันขึ้นไป โดยเฉพาะถ้าต้องการเล่นให้ครบทุกอย่าง และเข้าทุกแห่ง สาเหตุสำคัญคือคนเยอะครับ ต้องรอคิวนาน แม้ว่าจะมี Fast Pass ก็ตาม

ในบริเวณใกล้กันยังมีรีสอร์ทของดิสนีย์หลายแห่งด้วย แต่ละแห่งจะมี Theme ที่แตกต่างกันไป เช่น ป๊อป แคริบเบียน ซาฟารี เรียกได้ว่าเยอะแยะมากมาย แล้วแต่นักท่องเที่ยวจะชอบเลย ในเรื่องที่พักสามารถหาข้อมูลเพิ่มได้ที่นี่ หรือ ซื้อกับ Agoda อาจจะได้ดีลที่ถูกกว่าเว็บทางการ

ทั้งนี้เราไม่จำเป็นต้องนอนในโรงแรมเหล่านี้ก็ได้ (ผมก็ไม่ได้นอน) ท่านที่สนใจก็สามารถเลือกพักจากนอกสวนสนุกได้ตามสะดวกได้เช่นกัน

สำหรับดิสนีย์เวิลด์จะมีสิ่งที่เรียกว่า Fastpass+ อยู่ สิ่งนี้จะช่วยให้คุณเข้าเครื่องเล่นต่างๆ ได้เร็วขึ้น แต่ต้องใช้อย่างระมัดระวังเพราะว่ามันมีจำกัด!

ตั๋วเข้าดิสนีย์เวิลด์ (Disney World)

ส่วนตั๋วค่าเข้าดิสนีย์เวิลด์ (Disney World) มี 2 ประเภทดังต่อไปนี้

Standard Theme Park Ticket

ตั๋วแบบนี้คุณจะใช้ได้ 1 วันและเข้าได้สวนสนุกแห่งใดแห่งหนึ่งใน 4 สวนสนุก ถ้าคุณอยากเข้ามากกว่า 1 สวนสนุกในแต่ละวัน คุณต้องซื้อ Park Hopper Option เพิ่มเติมไปด้วย

ราคาตั๋วเข้าดิสนีย์เวิลด์แบบนี้เริ่มต้นที่วันละ $109 และราคาต่อวันถูกลงเรื่อยๆ ถ้าคุณซื้อจำนวนวันมากขึ้น เช่นถ้าคุณซื้อแบบ 2 วัน ราคาจะอยู่ที่ $214 นั่นหมายความว่าราคาต่อวันจะอยู่ที่ $107

ทั้งนี้จากที่ผมได้ตรวจสอบมา ผมพบว่าราคาส่วนลดต่อวันจะเริ่มมีนัยสำคัญเมื่อคุณซื้อตั๋ว 5 วันขึ้นไป ลงดูตามตารางด้านล่าง

ตั๋ว (กี่วัน)ราคาเฉลี่ยวันละ
1 วัน$109
2 วัน$107
3 วัน$105
4 วัน$101
5 วัน$83

นั่นหมายความว่าถ้าคุณซื้อ 5 วัน คุณจะได้ราคาเฉลี่ยต่อวันที่ถูกมากๆ แต่อย่าลืมว่า Disney World มีแค่ 4 สวนสนุกหลักเท่านั้น ถ้าคุณซื้อ 5 วัน คุณจะต้องเข้าสวนใดสวนหนึ่งมากกว่า 1 วัน และเสียค่าโรงแรมเพิ่มด้วยครับ

เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะซื้อตั๋วดิสนีย์เวิลด์แบบ 4 วัน ผมแนะนำให้ซื้อตั๋วแบบด้านล่างจะคุ้มกว่า

4-Park Magic Ticket

ตั๋วแบบนี้จะเหมือนตั๋ว 4 วัน แต่ขายในราคา $335 นั่นหมายความว่า ตั๋ว 4 วันแบบนี้จะมีราคาต่อวันเฉลี่ยอยู่ที่ $83.75 ซึ่งถูกกว่าตั๋วแบบ 4 วันทั่วไป ดังนั้นถ้าจะเที่ยวดิสนีย์เวิลด์ 4 วันผมแนะนำให้ซื้อแบบนี้ครับ

แล้วถ้ามีเวลา 2-3 วันจะทำอย่างไรดี? จะเที่ยวดิสนีย์เวิลด์ได้หรือไม่

คำตอบคือได้ครับ คุณควรจะซื้อตั๋วแบบ Standard และซื้อ Park Hopper Option ด้วย Park Hopper จะทำให้คุณเข้าสวนสนุกได้มากกว่า 1 แห่งต่อวันในราคา $60 สำหรับตั๋ว 1 วัน และ $70 สำหรับตั๋ว 2-3 วันครับ

คุณสามารถซื้อตั๋วได้ที่ Disney World แต่ผมมีเคล็ดลับซื้อให้ได้ถูกกว่าซื้อกับเว็บ เคล็ดลับอยู่ในส่วน “เคล็ดลับการเที่ยว Disney World” ซึ่งอยู่ล่างสุดของบทความนี้ครับ

Magic Kingdom

Magic Kingdom เป็นสวนสนุกแห่งแรกของ Disney World ที่เปิดทำการมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1971 ที่นี่มีปราสาทซินเดอเรลล่า ปราสาทอันเป็นสัญลักษณ์ของดิสนีย์แลนด์และเจ้าหญิงดิสนีย์ตั้งอยู่ตรงกลาง ทำให้นักท่องเที่ยวทุกคนต้องมาถ่ายรูปกับมันสักครั้งหนึ่ง เพื่อแสดงให้เห็นว่า เราได้มาถึง Disney World แล้วจริงๆ

ภายในสวนสนุก Magic Kingdom แบ่งออกเป็นหลาย Theme ด้วยกัน ได้แก่

  • Main Street, U.S.A.
  • Adventureland
  • Frontierland
  • Liberty Square
  • Fantasyland
  • Tomorrowland

แต่ละแห่งได้รับการตบแต่งอย่างสวยงาม หลายจุดเป็นสถานที่ที่น่าถ่ายรูป ใครที่ไม่อยากเล่นเครื่องเล่นสามารถไปหาจุดสวยๆ ถ่ายรูปรอได้

สำหรับเครื่องเล่นใน Magic Kingdom นี่ ผมบอกได้เลยว่ามีหลายอย่างมาก และในอนาคตกำลังจะเพิ่มจำนวนขึ้นด้วย แต่ที่เป็น highlight คือ

Splash Mountain: ตั้งอยู่ที่โซน Frontierland วิธีเล่นคือการนั่งเรือจากโตรกผาลงมากระแทกลงพื้นน้ำเบี้องล่าง เครื่องเล่นนี้ได้รับความนิยมสูงมาก เพราะฉะนั้นถ้าอยากจะเล่นควรใช้ FastPass+ และไปเล่นตั้งแต่เช้าเลยครับ แต่บอกไว้เลยว่าเปียกแน่ๆ และเด็กเล็กเล่นไม่ได้นะครับ ส่วนสูงต้องอย่างน้อย 40 เซนติเมตร

Pirates of the Caribbean: เป็นเครื่องเล่นหนึ่งที่เป็นที่นิยมมากในทุกๆ ดิสนีย์แลนด์เลยก็ว่าได้ Pirates of the Caribbean ตั้งอยู่ที่โซน Adventureland วิธีเล่นคือนั่งเรือเข้าไปในที่มืด ระหว่างทางก็จะเจอตัวละครที่เรารู้จักกันดีจากเรื่อง Pirates of the Caribbean รวมไปถึงบรรยากาศโจรสลัดด้วย สำหรับเครื่องนี้ผมว่าไม่ต้องใช้ Fastpass+ ก็ได้ แต่ไปตั้งแต่สวนสนุกเปิดใหม่ๆ เลย คนจะรอไม่นานครับ (ผมรอ 20 นาที)

Jungle Cruise: อีกหนึ่งไฮไลท์ของ Magic Kingdom เช่นกัน Jungle Cruise ตั้งอยู่ที่ Adventureland ใกล้กับ Pirates of the Caribbean วิธีเล่นคือนั่งเรือชมป่าและแม่น้ำเสมือน ถึงแม้จะไม่ได้ตื่นเต้นแบบรถไฟเหาะ แต่ก็สนุกดี

สำหรับเรื่องการรอนี่ ผมบอกได้เลยว่านานจริงๆ ผมจำได้ว่ารอไปชั่วโมงนึงเต็มๆ เพราะฉะนั้นถ้าอยากใช้ Fastpass+ ก็ใช้ไปเลยครับ หรือไม่ก็รีบไปเล่นตั้งแต่สวนสนุกเปิดใหม่ๆ เลย คนจะได้น้อยหน่อย

Space Mountain: ถ้าเดินไปอยู่โซน Tomorrowland แล้วเห็นโดมใหญ่ๆ เหมือนในหนังไซไฟ สิ่งนี้คือเครื่องเล่นชื่อ Space Mountain นั่นเองครับ วิธีการเล่นไม่ยากเลย มันคือรถไฟเหาะแบบในร่มนั่นเองครับ แต่เวลาเล่นเราจะอยู่ในสภาพที่มืดสนิท ทำให้ตื่นเต้นเร้าใจ อะดรีนาลีนหลั่งมากกว่าเดิม

Space Mountain เป็นเครื่องเล่นที่อยู่ยงคงกระพันมากๆ เพราะเปิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1975 และเป็นรถไฟเหาะที่เก่าแก่ที่สุดในรัฐฟลอริดา ทุกวันนี้มันก็ยังเป็นที่นิยมอยู่มาก ดังนั้นการใช้ Fastpass+ กับมันจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจครับ ถ้าไม่ใช้ก็ไปเล่นตอนที่สวนสนุกเพิ่งเปิดหรือกำลังจะปิด เพราะถ้ารอเต็มๆ นี่อาจจะใช้เวลาชั่วโมงครึ่งหรือสองชั่วโมงเลยทีเดียว

Seven Dwarfs Mine Train: เครื่องเล่นเครื่องใหม่ที่เพิ่งจะเปิดให้เล่นในส่วน Fantasyland ปี ค.ศ.2014 นี้เอง Seven Dwarfs Mine Train เป็นรถไฟเหาะที่ใช้ theme คนแคระทั้งเจ็ดในเรื่องเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ รถไฟคันเล็กๆ จะนำผู้เล่นผจญภัยไปยังสถานที่ต่างๆ ในเรื่อง

ปัจจุบันเครื่องเล่นนี้เป็นที่นิยมมากที่สุดใน Magic Kingdom ก็ว่าได้ ทำให้การเข้าคิวใช้เวลานานมาก เพราะฉะนั้นไม่ต้องสงสัยว่า Fastpass+ ควรถูกใช้กับเครื่องนี้อย่างแน่นอน

Peter Pan’s Flight: อีกหนึ่งเครื่องเล่นเก่าแก่แต่เป็นที่นิยมอย่างสูงมาจนถึงปัจจุบัน Peter Pan’s Flight ตั้งอยู่ที่โซน Fantasyland วิธีเล่นค่อนข้างง่าย ผู้เล่นจะนั่งบนยานพาหนะที่จะทำให้เหมือนกับเป็นปีเตอร์แพนที่บินเหนือกรุงลอนดอน!

เนื่องจากเครื่องนี้ได้รับความนิยมสูงมาก ทำให้ควรใช้ Fastpass+ เป็นที่สุด หรือไม่ก็ใช้วิธีเดิมนั่นคือ รีบวิ่งไปทันทีหลังจากที่สวนสนุกเปิด หรือรอจนสวนสนุกใกล้ปิดแล้วค่อยไปเล่นครับ

นอกจากไฮไลท์เหล่านี้แล้ว ภายใน Magic Kingdom ของ Disney World ยังมีอีกหลายอย่างที่น่าเล่นเช่น

  • Big Thunder Mountain Railroad
  • Tom Sawyer Island
  • The Many Adventures of Winnie the Pooh
  • Buzz Lightyear’s Space Ranger Spin

แต่ที่พลาดไม่ได้จริงๆ คือ พลุและโชว์อื่นๆในตอนกลางคืนในช่วงที่สวนสนุกกำลังจะปิดครับ เป็นพลุที่สวยที่สุดครั้งหนึ่งที่ผมเคยดูมาเลย

Disney’s Hollywood Studios

Disney’s Hollywood Studios เป็นสวนสนุกแห่งที่สองใน Disney World ที่ผมจะกล่าวถึง สวนสนุกแห่งนี้มี theme ที่ต่างไปจาก Magic Kingdom เพราะจะเน้นไปที่จักรวาลของภาพยนตร์ทั้งหลายของดิสนีย์ (ตามชื่อ Hollywood) ที่นี่สามารถใช้ Fastpass+ ได้ไม่ต่างจาก Magic Kingdom เพราะฉะนั้นอย่าลืมใช้ด้วยละครับ

มาดูกันดีกว่าที่นี่มีอะไรน่าเล่นบ้าง

The Twilight Zone Tower of Terror: พอเข้ามาถึงสวนสนุกแห่งนี้ใหม่ๆ เรามักจะได้ยินเสียงกรีดร้องเสมอ มันดังมาจากเครื่องเล่นนี้เอง

เครื่องนี้ไม่มีอะไรไปมากกว่า การจำลองสถานการณ์ลิฟต์ที่ถูกตัดเชือกนั่นเองครับ หรือเหมือนกับการตกตึกนั่นแหละ จะสนุกแค่ไหนต้องไปลองดูเอง แต่ที่นี่คนรอเล่นเยอะมาก เพราะฉะนั้นถ้าใช้ Fastpass+ ได้ก็ใช้ไปเลยครับ ถ้าไม่ใช้อาจจะต้องรอถึง 90 นาทีเลยทีเดียว

Rock n’ Rollercoaster-Starring Aerosmith: สิ่งนี้คือรถไฟเหาะตีลังกาในร่มภายใต้ความมืดสนิทครับ เท่าที่ผมจำได้เครื่องนี้มันส์มากตั้งแต่ออกตัว และจากที่หาข้อมูลมาพบว่าเจ้าเครื่องนี้มันทำให้เราอยู่ในสภาพแรงโน้มถ่วง 5 เท่าของปกติ ดังนั้นถ้าได้มาที่นี่ต้องลองสักทีนึงครับ

ถ้ามี Fastpass+ ก็ใช้กับมันไปเลย ถ้าไม่ใช้ก็ไปเล่นเลยตั้งแต่เช้า เพราะช่วงบ่ายๆ นี่คนเยอะมากจริงๆ ครับ รอ 1-2 ชั่วโมงไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลย

Slinky Dog Dash: รถไฟเหาะเช่นเดิมครับ แต่อันนี้อาจจะไม่ได้มันส์เท่ากับ Rock n’ Rollercoaster-Starring Aerosmith แต่คนอเมริกันชอบมากเพราะว่าเป็น theme ของ Toy Story ทำให้คิวยาวมากกก ถ้ามี Fastpass+ แน่นอนว่าใช้กับมันไปเลย การยืนรอสิ่งนี้อาจจะเป็นประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ถ้าไปในฤดูหนาว เพราะคิวหลังๆ จะอยู่กลางแจ้ง ทำให้รับแดดไปเต็มๆ

Toy Story Midway Mania: อีกหนึ่งเครื่องเล่นที่ใช้ theme ของ Toy Story เครื่องเล่นนี้เป็นการผจญภัยแบบ 4D ร่วมกับตัวละครจาก Toy Story ทั้งหลายที่เรารู้จักกันดีอย่าง Woody และ Buzz

เครื่องนี้เป็นที่นิยมมากเช่นเดียวกัน และใช้เวลารอนานมาก การใช้ Fastpass+ อาจจะน่าสนใจถ้าอยากเล่นจริงๆ หรือไม่ก็ไปรอตอนสวนสนุกเปิดใหม่ๆ หรือใกล้จะปิดตามเดิม

Star Tours – The Adventures Continue: เครื่องเล่นนี้จะพาเราขึ้นยาน Starspeeder 1000 แบบในจักรวาล Star Wars เพื่อไปปะทะกับดาวร้ายของเรื่องอย่าง Darth Vader ตัวเครื่องนี้จะอัพเดตเรื่อยๆ ถ้ามีหนัง Star Wars เรื่องใหม่ออกมา การใช้ Fastpass+ ไม่จำเป็นสักเท่าไรนัก เพราะคิวไม่ได้ยาวเหมือนกับเครื่องเล่นอื่นๆ ด้านบน

นอกเหนือจากเครื่องเล่นเหล่านี้แล้ว ที่นี่ยังมีเครื่องเล่นที่น่าสนใจอย่าง Alien Swirling Saucers เป็นต้นให้ได้เลือกสรรให้เล่น

การแสดง

จุดแข็งของ Disney World อีกอย่างหนึ่งคือการแสดงโชว์ครับ ซึ่งภายใน Disney’s Hollywood Studios มีการแสดงมากมายที่น่าไปดูมากๆ ถ้าต้องการจะดู คุณต้องเช็คเวลาและรอบให้ดีครับ

Beauty and the Beast: Live on Stage หนึ่งในการแสดงที่เป็นที่นิยมมากของที่นี่ รูปแบบของการแสดงเป็นละครเพลงที่จะเล่าเรื่องของ Belle ที่เดินทางไปยังปราสาทจนได้พบรักกับ The Beast สำหรับสถานที่นี้มี Fastpass+ ให้ใช้ แต่ไม่ควรใช้เป็นอย่างยิ่ง เพราะสถานที่ใหญ่ รับคนได้จำนวนมาก ทำให้แทบจะไม่มีคิวเลย ไปให้ตรงเวลาที่เค้าจะแสดงก็พอครับ การแสดงจะกินเวลาประมาณ 25 นาที

For The First Time in Forever: A Frozen Sing-Along Celebration: นี่คือการแสดงที่เป็นที่นิยมมากที่สุดใน Disney’s Hollywood Studios ในปัจจุบัน เพราะมันเพิ่งจะมีมาได้ไม่นานนัก การแสดงอ้างอิงมาจากแอนิเมชันเรื่อง Frozen และใช้เพลงจากภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ถ้าท่านใดชอบเรื่องนี้ต้องไปดูให้ได้ครับ

การแสดงเรื่องนี้มีผู้สนใจเยอะมาก ทำให้บางครั้งโรงละครรับคนได้ไม่พอ จนถึงกับมีคนพลาดโอกาสเข้าชมและต้องรอรอบต่อไป สิ่งที่เราควรทำคือไปก่อนประมาณ 20-25 นาทีครับ

Indiana Jones Epic Stunt Spectacular: การแสดงเก่าแก่ในโรงละครขนาด 2,000 ที่นั่ง ทำให้การเข้าคิวนานๆ ไม่จำเป็นเท่าใดนัก การแสดงนี้เป็นการแสดงแบบสตั้นท์ของนักแสดงใน theme แบบ Indiana Jones ท่านที่ชอบเรื่องนี้จะพลาดไม่ได้เช่นเดียวกัน Fastpass+ ไม่ต้องใช้ที่นี่ครับ

นอกจากการแสดงเหล่านี้แล้ว การแสดงย่อยอื่นๆ ก็น่าสนใจเช่นเดียวกัน เช่น Star Wars Launch Bay หรือ Muppet Vision 3D การแสดงและเครื่องเล่นเหล่านี้จะทำให้เราอยู่ที่นี่ทั้งวันได้อย่างสบายๆ เลยครับ

Disney’s Animal Kingdom

คอนเซ็ปต์ของที่นี่แตกต่างออกไป นั่นคือเป็นสวนสนุกผสมกับสวนสัตว์ที่มีสัตว์อยู่จริงๆ ที่นี่ให้ความสนุกที่แตกต่างออกไปจาก 2 สวนสนุกด้านบนมากครับ เรามาดูกันเลยดีกว่าที่นี่มีอะไรน่าสนใจบ้าง

Avatar Flight of Passage: นี่คือเครื่องเล่นที่เป็นที่นิยมมากที่สุดใน Disney World เลยก็ว่าได้ หลังจากที่เปิดให้เล่นเมื่อปี ค.ศ.2017 เจ้าเครื่องนี้คือการสำรวจดาว Pandora ในจักรวาล Avatarในรูปแบบสามมิติ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทุกคนจะแห่ไปที่นี่ตั้งแต่สวนสนุกเปิด ทำให้คนแน่นเอี้ยดตั้งแต่เช้าจรดเย็น ถ้าอยากเล่นนี่ต้องทำใจว่าต้องรอนานมาก (อย่างน้อย 2 ชั่วโมงครึ่งในช่วงเวลาบ่ายๆ) ถ้าสามารถใช้ Fastpass+ ได้แน่นอนว่าใช้ไปเลยครับ

Na’Vi River Journey: อีกหนึ่งเครื่องเล่นใน theme Avatar ที่นำคุณเข้าไปในป่าศักดิ์สิทธิ์ของเผ่า Na’Vi แม้ว่าเครื่องเล่นนี้จะไม่ได้เป็นที่นิยมเท่ากับเครื่องแรก แต่ก็มีคนมากไม่แพ้กัน การรออาจจะใช้เวลานานถึง 80-120 นาที เพราะฉะนั้นถ้าใช้ Fastpass+ ได้ก็ใช้ไปเถอะ

Kilimanjaro Safaris: ท่องซาฟารีโดยไม่ต้องไปถึงแอฟริกา เราจะได้ขึ้นรถจี๊บและท่องไปตามทุ่งต่างๆ เพื่อดูสัตว์จริงๆ ตัวเป็นๆ อย่างยีราฟ เสือ ช้าง สิงโต แรด และอื่นๆ อีกมากมาย แต่จะเห็นมากเท่าไร ในส่วนนี้แล้วแต่ดวงเหมือนกันครับ เพราะว่าสถานที่นี่ใหญ่พอสมควร ทำให้สัตว์เดินไปเดินมาได้มาก ในตอนนี้ทางสวนสนุกได้เปิดแบบไนท์ซาฟารีให้ดูแล้วด้วยเช่นกัน

ถ้ามี Fastpass+ ควรใช้กับที่นี่เช่นเดียวกัน เพราะรอคิวนานพอสมควร (1 ชั่วโมงโดยประมาณ) แต่ถ้าเคยดูของจริงที่แอฟริกามาแล้ว ผมว่าผ่านไปก็ได้นะครับ มันไม่น่าสู้ทุ่งสะวันนาของจริงได้หรอก

Expedition Everest: สิ่งนี้คือรถไฟเหาะที่ใช้ theme เป็นยอดเขาเอเวอร์เรสต์ครับ รถจะพาเราผ่านชม special effects ที่เกี่ยวกับการผจญภัยต่างๆ ในยอดเขาแห่งนี้ จุดเด่นคือมีบางช่วง รถมันจะวิ่งถอยหลังให้ผู้เล่นเสียวสันหลังเล่นๆ ครับ เจ้ารถไฟเหาะนี่ใช้เวลารอนานเช่นเดียวกัน ประมาณ 1-2 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นถ้ามี Fastpass+ ก็ใช้เถอะ หรือไม่ก็มาเล่นตอนใกล้ปิดเหมือนเดิม (เพราะตอนเปิดน่าจะแห่ไป Avatar)

Kali River Rapids: สิ่งนี้คือการนั่งแพกลมๆ แล้วไปล่องแก่งที่มีน้ำไหลเชี่ยว ไม่ต้องสงสัยว่ามันส์แน่ๆ แต่ที่แน่อีกอย่างคือเปียกชัวร์ 100% แล้วไม่ใช่เปียกแบบนิดหน่อยด้วย เปียกแบบเปียกจริงเปียกจัง (มีป้ายเตือนไว้ล่วงหน้า) เพราะฉะนั้นถ้าอยากเล่นเตรียมเสื้อมาเปลี่ยนด้วยก็ดีนะครับ แต่ด้วยความที่มันเปียก ทำให้ช่วงหนาวๆ ไม่ค่อยมีคนเล่นเท่าไรนัก โดยรวมแล้วยังต้องเข้าคิวยาวพอสมควร (60 นาที) ถ้ามี Fastpass+ ก็ใช้ได้ครับ

Dinosaur: นั่งรถเหมือนเดิมเพื่อบุกไปในโลกยุคครีเตเชียส ก่อนที่ไดโนเสาร์จะสูญพันธุ์เพียงเสี้ยววินาที ดูจาก theme ก็รู้แล้วว่าน่าจะมันส์ เครื่องนี้เป็นที่นิยมพอสมควร เพราะฉะนั้นทำใจว่าต้องรอคิว (เหมือนเดิม) ประมาณ 45 นาทีขึ้นไป ถ้ามี Fastpass+ และอยากเล่น แน่นอนว่าใช้ได้ครับ

It’s Tough To Be A Bug: ชมภาพยนตร์ 3D ที่มีตัวละครที่เรารู้จักกันดีจากภาพยนตร์เรื่อง A Bug’s Life เช่น Flik แมลงตัวเอกของเรื่อง แม้ว่าโชว์นี้จะเป็นที่นิยมพอสมควร แต่ไม่ควรที่จะใช้ Fastpass+ เพราะคิวไม่ยาวมากนัก ประมาณ 30 นาทีก็ได้เข้าไปดูแล้วครับ

นอกจากเครื่องเล่นเหล่านี้แล้ว Animal Kingdom ยังมีอะไรให้เล่นอีกมาก รวมไปถึงการชมสัตว์ด้วย สามารถหารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

การแสดง

สิ่งที่น่าสนใจนอกจากเครื่องเล่นในสวนสนุก Aninal Kingdom ของ Disney World คือ การแสดง ครับ การแสดงที่เป็นไฮไลท์มีดังต่อไปนี้

Festival of the Lion King: การแสดงแบบละครเพลงที่นำมาจากแอนิเมชันเรื่อง The Lion King ในปี ค.ศ.1994 โดยส่วนตัว ผมชอบการแสดงนี้มาก เพราะแสงสีเสียงและความตื่นตามาพร้อม ที่สำคัญที่สุดคือเพลงเพราะมากจริงๆ สำหรับการชมไม่ต้องใช้ Fastpass+ อะไร เพราะคิวไม่ยาว แค่ดูเวลาที่เค้าแสดงแล้วไปให้ทันก่อนเค้าแสดงก็เพียงพอแล้วครับ

Finding the Nemo: The Musical: อีกหนึ่งการแสดงที่ต้องดู ถ้าคุณชอบเรื่อง Finding Nemo ละครเพลงนี้ต่างจากเรื่องอื่นตรงที่โรงละครไม่ใหญ่ และกินเวลานาน (40 นาที) ทำให้การไปที่โรงละครเร็วหน่อยเป็นสิ่งที่จำเป็น อย่าได้ใช้ Fastpass+ ที่นี่ ไปใช้ในที่ที่แน่นกว่านี้ดีกว่าครับ ฺ

Blizzard Beach และ Typhoon Lagoon

Typhoon Lagoon และ Blizzard Beach เป็นสวนน้ำของ Disney World และเป็นสวนน้ำที่เป็นที่นิยมเป็นอันดับหนึ่งและสองในอเมริกา เครื่องเล่นในสวนน้ำทั้งสองนี้ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเหมือนกับสวนสนุกหลัก ส่วนมากก็มีสระน้ำและ Slider เหมือนกับสวนน้ำทั่วไป แม้ขนาดจะใหญ่ก็ตาม

โดยส่วนตัวคิดว่าข้ามไปก็ได้ครับ จะได้ไม่ต้องเสียตังเพิ่ม

Epcot

Epcot เป็นสวนสนุกใน Disney World ที่ต่างไปจากสวนสนุกอื่น เพราะสวนสนุกแห่งนี้เหมือนกับเป็นงานกาชาดสากล หรืองาน World Expo มากกว่า มีการแสดงวัฒนธรรมของประเทศต่างๆ จากทุกทวีป และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม แต่เครื่องเล่นเด็ดๆ บางชิ้นก็ยังอยู่ที่นี่

เรามาดูกันครับว่า Epcot มีอะไรน่าสนใจบ้าง

Spaceship Earth: รถไฟเหาะที่จะพาทุกท่านเคลื่อนไปในลูกกอล์ฟขนาดยักษ์มันเป็นสัญลักษณ์ของ Epcot แน่นอนว่ามาถึงที่นี่แล้ว ควรจะลองสักครั้ง ใช้ Fastpass+ ได้ในกรณีที่มีคนรอเยอะ ถ้าไม่ใช้ก็อาจจะรอประมาณ 1 ชั่วโมงในเวลาพีคๆ อย่างช่วงบ่าย

Mission: Space: จะมีอะไรที่จะสนุกไปกว่า การได้นั่งในเครื่องจำลองของนาซาของจริงเพื่อเดินทางไปยังดาวอังคาร ดิสนีย์ลงทุนไปไม่น้อยเลยกับเครื่องเล่นชิ้นนี้ เพราะฉะนั้นอย่าได้ลังเลที่จะไปเล่นครับ นอกจากนี้คิวยังไม่ยาวเท่าไรด้วย Fastpass+ ไม่ได้ใช้ก็ได้ รอประมาณ 30 นาทีก็ได้เล่นแล้ว

Test Track: นี่คือเครื่องเล่นที่เป็นที่นิยมมากที่สุดใน Epcot สิ่งนี้คือรถจำลองของเชฟโรเลตที่นำมาให้ผู้เล่นได้ลองนั่งจริงๆ ความเร็วในการนั่งถือว่าเร็วที่สุดในสวนสนุกแห่งนี้เลยทีเดียว ทำให้คนสนใจเยอะมาก เพราะฉะนั้นใช้ Fastpass+ ถ้ามี หรือไม่ก็เล่นตั้งแต่เช้าหรือเย็น เพราะการรอคิวเกือบสองชั่วโมงคงจะไม่ขำเท่าไรนัก

Soarin Around the World: นั่งบนเครื่องเล่นที่เขย่าไปมาได้เพื่อตะลุยไปชมแลนด์มาร์กจากทั่วทุกมุมโลก เครื่องนี้น่าสนใจที่จะเล่นเหมือนกัน แต่ถ้าใช้ Fastpass+ อาจจะไม่คุ้ม เก็บไว้ใช้กับเครื่องอื่นดีกว่า เพราะเวลารอไม่นานมากนัก (30-45 นาที)

Frozen Ever After: ตั้งอยู่ในส่วนหมู่บ้านนอร์เวย์ของ Epcot วิธีเล่นคือเราจะได้นั่งในเรือแบบนอร์วีเจียนโบราณและท่องไปในโลกของ Frozen (แอนิเมชัน) ผมแนะนำเป็นอย่างยิ่งสำหรับใครที่ชอบแอนิเมชันเรื่องนี้ ปัจจุบัน Frozen Ever After ได้รับความนิยมสูงมาก ทำให้คิวยาวมาก ใช้ Fastpass+ ถ้ามี หรือไม่ก็รีบไปเล่นตั้งแต่เช้า

The Seas with Nemo & Friends: ตะลุยไปกับผองเพื่อนเพื่อตามหา Nemo ให้ได้ เครื่องเล่นนี้เป็นที่นิยมมากในหมู่เด็กๆ แต่สำหรับผู้ใหญ่อาจจะไม่ตื่นเต้นเท่าไรนัก ยกเว้นว่าชอบเรื่องนี้จริงๆ Fastpass+ อาจจะไม่ต้องใช้ เพราะแถวอาจจะเคลื่อนแบบสบายๆ (20 นาทีได้เล่น)

นอกเหนือจากนี้ Epcot ยังมีสิ่งจัดแสดงและโชว์ที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่นเดียวกับเทศกาลดอกไม้และอื่นๆ ด้วย สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่

แต่สิ่งที่พลาดไม่ได้คือ พลุและดอกไม้ไฟที่สวยงามในเวลากลางคืนก่อนที่สวนสนุกแห่งนี้จะปิดลง ความสวยงามไม่แพ้ที่ Magic Kingdom เลย

เคล็ดลับการเที่ยว Disney World

  • วิธีซื้อตั๋วที่ง่ายและถูกที่สุดวิธีหนึ่งคือซื้อผ่าน Klook เพราะสามารถระบุได้เลยว่าต้องการเข้ากี่วัน (มีให้เลือกตั้งแต่ 2-10 วัน)
  • ถ้าไม่ได้พักกับดิสนีย์ ตรวจสอบกับโรงแรมที่พักด้วยทุกครั้งว่ามีการขายตั๋วเข้า Disney World ในราคาที่ถูกกว่าปกติหรือไม่ จากประสบการณ์ส่วนตัว ผมได้ตั๋วที่ถูกกว่าที่หน้าสวนสนุกถึง 40% จากโรงแรมที่พักใน Kissimmee
  • ถ้าคิดว่าสามารถใช้เวลากับสวนสนุกมากกว่า 1 แห่งได้ภายในวันเดียว โปรดเลือกตัวเลือกแบบ Park Hopper ไปด้วยในการซื้อตั๋ว เพราะจะทำให้เราเข้ามากกว่า 1 สวนสนุกได้ในวันเดียวกัน
  • ถ้ามี Fastpass+ ใช้ทุกครั้งที่มีโอกาส แต่เลือกลำดับความสำคัญโดยใช้กับเครื่องที่คนเยอะๆ ก่อน อ่านคู่มือการใช้ Fastpass+ อย่างละเอียดได้ที่นี่
  • ทำใจว่า คุณไม่สามารถเล่นหรือดูการแสดงทุกอย่างในสวนสนุกใดๆ โดยใช้เวลาแค่วันเดียว เพราะคิวที่ยาวมากทำให้เวลาเสียไปกับการเข้าคิวนานมาก เลือกสิ่งที่อยากเล่นที่สุดไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ และใช้เวลาให้เหมาะสม
  • ราคาน้ำและอาหารในสวนสนุกทุกแห่งแพงกว่าทั่วไป แต่ไม่ได้แพงในระดับที่กินไม่ได้ ผมหลีกเลี่ยงอาหารข้างในด้วยการกินมื้อเช้าและมื้อเย็นนอกสวนสนุก ส่วนมื้อเที่ยงก็กินข้างในบ้าง หรือบางวันก็ไม่กินเลย เพราะเอาเวลาไปเข้าคิว เน้นดื่มน้ำและขนมง่ายๆ เช่น popcorn มากกว่าจะได้ประหยัดเวลาด้วย
  • อย่างไรก็ดี “อาหาร” ถือว่าเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของดิสนีย์เวิลด์ ผมได้ชี้เป้าอาหารที่ราคาไม่แพงและอร่อยไว้แล้วที่บทความ “อาหารอร่อยที่ไม่แพงในดิสนีย์เวิลด์
  • ถ้าเหนื่อยไม่ต้องกังวล ภายในสวนสนุกมีที่ให้นั่งพักหลายแห่ง
[sc name=”travelthai” ][/sc]
Pun Anansakunwat
Pun Anansakunwathttps://victorytale.com/about-victorytale/
ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Victory Tale ผมชื่นชอบในหลากหลายสาขาตั้งแต่ประวัติศาสตร์ การท่องเที่ยว เทคโนโลยี ไปจนถึงการลงทุน หลังจากที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย (Columbia University) ผมก็ได้เป็นนักลงทุนในหุ้น, ติวเตอร์, นักเขียน (ตีพิมพ์ไปแล้ว 3 เล่ม) และในปัจจุบันก็เป็นเจ้าของเว็บไซต์ครับ

ที่เที่ยวในอเมริกา

โรงแรมที่พักในอเมริกา

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!