ตำนาน5 ตำนาน "ซินเดอเรลล่า" จากที่ต่างๆ ทั่วทุกมุมโลก

5 ตำนาน “ซินเดอเรลล่า” จากที่ต่างๆ ทั่วทุกมุมโลก

“ซินเดอเรลล่า” (Cinderella) เป็นหนึ่งในเจ้าหญิงดิสนีย์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักที่สุดก็ว่าได้ ซินเดอเรลล่าเป็นผู้หญิงยากจน และถูกกดขี่โดยแม่เลี้ยงและพี่สาวต่างมารดา แต่ในเวลาต่อมาเธอได้พบและแต่งงานกับเจ้าชาย ทำให้เธอกลายเป็นเจ้าหญิง และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับเจ้าชายตลอดไป

ท่านทราบหรือไม่ว่าตำนานลักษณะแบบเดียวกันนี้ปรากฏอยู่ในหลากหลายวัฒนธรรมทั่วทุกมุมโลกมานานนับพันปีก่อนที่ดิสนีย์จะมาทำเป็นภาพยนตร์ด้วยซ้ำไป

เราดูกันครับว่ามีตำนานไหนบ้าง และของประเทศอะไร?

ซินเดอเรลล่า

1. Rhodopis ของชาวกรีก

Rhodopis เป็นตำนานซินเดอเรลล่าที่เก่าแก่ที่สุดที่มีการค้นพบ เรื่องดังกล่าวถูกบันทึกโดย Strabo นักประวัติศาสตร์โลกในช่วงปี ค.ศ.1-20 ทำให้มันมีอายุมากกว่า 2,000 ปี

เรื่องมีอยู่ว่ามีหญิงสาวยากจนนางหนึ่ง (บ้างว่าเธอเป็นโสเภณีหรือทาส) ชื่อ Rhodopis กำลังอาบน้ำอยู่ กลับมีนกอินทรีตัวหนึ่งมาคาบรองเท้าแตะของเธอไป และนำไปที่เมืองเมมฟิส เมืองหลวงของอียิปต์ในขณะนั้น

นกอินทรีตัวนั้นได้ปล่อยรองเท้าแตะที่คาบอยู่ลงบนตักของฟาโรห์แห่งอียิปต์ เมื่อฟาโรห์เห็นเข้าก็รู้สึกแปลกประหลาดใจอย่างมาก และรู้สึกประทับใจในความงามของรองเท้าคู่นั้นด้วย

รองเท้าแตะจากอียิปต์

ดังนั้นฟาโรห์จึงให้ค้นหาเจ้าของรองเท้าทั่วทั้งอาณาจักร ปรากฏว่าข้าหลวงได้พบกับเจ้าของรองเท้านั่นก็คือ Rhodopis หลังจากนั้นเธอได้กลายเป็นมเหสีของฟาโรห์แห่งอียิปต์

Rhodopis จึงกลายเป็นตำนาน “ซินเดอเรลล่ารองเท้าแตะ” ที่ปรากฏเป็นครั้งแรกในโลก

2. เย่เซี่ยนของชาวจีน

ชาวจีนเองก็มีตำนานแบบ “ซินเดอเรลล่า” เช่นเดียวกัน แต่เปลี่ยนชื่อเป็น “เย่เซี่ยน” (Ye Xian, 叶限)

หลายพันปีก่อนฉินสื่อหวงตี้จะรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งได้สำเร็จ มีเผ่าหนึ่งชื่อหวู่ตง ตามธรรมเนียมแล้วหัวหน้าเผ่าจะมีภรรยาได้สองคน เย่เซี่ยนเป็นหนึ่งในลูกสาวของภรรยาคนหนึ่งของหัวหน้าเผ่า เธอเป็นคนสวยมาก มีน้ำใจ และอ่อนน้อมถ่อมตน ทำให้หัวหน้าเผ่ารักลูกสาวคนนี้มาก โดยเฉพาะหลังจากที่แม่ของเย่เซี่ยนจากไป

หากแต่ว่าเมื่อเย่เซี่ยนโตเป็นสาวได้ไม่นาน หัวหน้าเผ่ากลับสิ้นชีวิตก่อนวัยอันควร ทำให้เย่เซี่ยนตกอยู่ในการดูแลของมารดาเลี้ยง เธอและพี่สาวต่างมารดาต่างกดขี่เย่เซี่ยนกันยกใหญ่ด้วยการให้เย่เซี่ยนเป็นคนรับใช้

เย่เซี่ยนอยู่ในความทุกข์ตลอดเวลา จนกระทั่งวันหนึ่งเธอได้พบกับปลาขนาดใหญ่ที่มีลำตัวงดงามภายในทะเลสาบ ในเวลาไม่นานมันได้กลายเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเย่เซี่ยน ปลาตัวนี้เป็นภูติที่แม่ของเย่เซี่ยนที่ตายไปแล้วส่งมานั่นเอง

พี่สาวต่างมารดาเห็นเย่เซี่ยนมีความสุขกับปลาตัวนั้น เธอจึงจับปลาตัวนั้นมาฆ่าเสียและกินเป็นอาหารกับมารดาเลี้ยง เย่เซี่ยนเสียใจมาก เธอร้องไห้ออกมาอย่างมากมาย

แต่ทว่าเธอกลับพบดวงวิญญาณของผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ขอให้เธอฝังกระดูกของปลาตัวนั้นไว้ที่หม้อทั้งสี่ และซ่อนแต่ละหม้อไว้ที่มุมเตียงของเธอ ผู้เฒ่าได้บอกเย่เซี่ยนว่าถ้าเธอบอกความปรารถนาแก่กระดูกเหล่านั้น มันจะเป็นจริง

เมื่อประเพณีปีใหม่มาถึง มันเป็นช่วงที่สาวๆ จะได้จับคู่กับชายหนุ่ม มารดาเลี้ยงจึงสั่งให้เย่เซี่ยนทำงานอยู่ในบ้าน ส่วนตัวเธอนำพี่สาวต่างมารดาของเย่เซี่ยนไปงานเลือกคู่

เย่เซี่ยนอยากไปงานดังกล่าวด้วยเช่นเดียวกัน เธอจึงภาวนาต่อกระดูกของปลาตัวนั้นเงียบๆ ทันใดนั้นสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่กลายเป็นเสื้อผ้าที่งามงดในชั่วพริบตา

หลังจากนั้น เย่เซี่ยนจึงเดินทางไปยังงานเลือกคู่

ที่งานเลือกคู่ ทุกคนมองเย่เซี่ยนเป็นตาเดียว เธออยู่ในงานได้สักพักหนึ่ง เย่เซี่ยนก็รีบหนีกลับ เพราะว่าพี่สาวต่างมารดาเหมือนจะจำเธอได้

ด้วยความรีบร้อน เย่เซี่ยนทำรองเท้าทองคำหลุดเอาไว้ข้างหนึ่ง

เมื่อเย่เซี่ยนกลับถึงบ้าน เธอรีบซ่อนเครื่องแต่งกายและรองเท้าที่เหลืออยู่ข้างเดียว และทำตัวตามปกติ เมื่อมารดาเลี้ยงและพี่สาวต่างมารดากลับมาถึงบ้าน ทั้งสองพูดถึงสาวสวยในงานกันยกใหญ่ โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเย่เซี่ยน

ชาวนาคนหนึ่งเก็บรองเท้าทองคำของเย่เซี่ยนได้ เขาได้นำไปขาย รองเท้านี้ถูกขายต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปตกอยู่ในมือของกษัตริย์แคว้นหนึ่ง กษัตริย์รู้สึกแปลกใจกับรองเท้าคู่นี้มาก เขาออกประกาศว่าเขาจะแต่งงานกับหญิงโสดนางใดที่สวมใส่รองเท้าคู่นี้ได้พอดี

ข้าหลวงของกษัตริย์เดินทางไปๆมาๆ หลายที่ แต่ไม่มีหญิงสาวนางใดที่ใส่รองเท้าคู่นี้ได้พอดี จนกระทั่งข้าหลวงเดินทางมาถึงหมู่บ้านของเย่เซี่ยน พี่สาวต่างมารดาได้ลองสวมใส่รองเท้านั้นก่อน แต่ก็ใส่ไม่ได้

ด้วยความหงุดหงิดที่หาผู้ใส่รองเท้าไม่ได้เสียที กษัตริย์จึงใส่สร้างศาลาขนาดใหญ่ในสวน และให้นำรองเท้าทองคำไปวางไว้ที่นั่น เมื่อเย่เซี่ยนทราบว่ารองเท้าคู่นั้นเป็นของเธอ เธอจึงแอบเข้ามาที่สวนนั้นเพื่อจะนำมันกลับไป แต่เย่เซี่ยนกลับถูกจับได้ และโดนกล่าวหาว่าเป็นขโมย เธอจึงถูกนำตัวไปหากษัตริย์

กษัตริย์ถามเธอว่าทำไมเธอถึงมาขโมยรองเท้า เธอบอกว่าเธอไม่ใช่ขโมย แต่รองเท้าคู่นี้เป็นของเธอ กษัตริย์ประทับใจในความซื่อสัตย์และความอ่อนหวานของเธอ เขาจึงอนุญาตให้เธอนำรองเท้ากลับไปได้

ภายในคืนนั้น กษัตริย์ตระหนักว่าเขาหลงรักเย่เซี่ยนเสียแล้ว เขาจึงมาหาเธอที่บ้านในวันรุ่งขึ้น และขอให้เธอกลับไปที่เมืองหลวงกับเขา เย่เซี่ยนตอบรับด้วยความยินดี เธอสวมใส่รองเท้าทั้งสองข้าง และนำชุดที่เธอแอบไว้มาสวมใส่

ทันทีที่มารดาเลี้ยงและพี่สาวต่างมารดาเห็นเย่เซี่ยนสวมใส่ชุดดังกล่าว พวกเธอรีบทูลกษัตริย์ว่าชุดดังกล่าวไม่ใช่ของเย่เซี่ยนแต่เป็นของพี่สาวของเธอ กษัตริย์ไม่เชื่อคำกล่าวของทั้งสอง เย่เซี่ยนจึงได้เข้าวังและแต่งงานกับกษัตริย์ เธอใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตลอดไปในฐานะราชินี

ภายหลังมารดาเลี้ยงและพี่สาวต่างมารดาทะเลาะกันเองจน “บ้านแตก” ซึ่งในเคสนี้คือ บ้านแตกจริงๆ เพราะบ้านได้ถล่มลงมาทับทั้งสองจนเสียชีวิต

เรื่องเย่เซี่ยนปรากฏครั้งแรกในศตวรรษที่ 9 ในสมัยราชวงศ์ถัง

3. Sumiyoshi Monogatari ของชาวญี่ปุ่น

ลำดับถัดไปเรามาดูตำนาน “ซินเดอเรลล่า” ของชาวญี่ปุ่นกันบ้าง

เรื่องมีอยู่ว่าขุนนางคนหนึ่งมีภรรยาสองคนและลูกสาวสามคน ภรรยาคนแรกมีลูกสาวชื่อฮิเมะกิมิ ส่วนภรรยาคนที่สองมีลูกสาวชื่อ นากะคิมิ และ ซานโนคิมิ

แม่ของฮิเมะกิมิจากไปเมื่อฮิเมะกิมิอายุได้ 8 ขวบ แม่เลี้ยงของเธอจึงเริ่มกดขี่ฮิเมะกิมิสารพัด

ผ่านไปหลายปี มีนายทหารหนุ่มคนหนึ่งได้พบฮิเมะกิมิ เขาตกหลุมรักเธอในบัดดล เช่นเดียวกับฮิเมะกิมิที่ตกหลุมรักนายทหารผู้นั้นทันที แต่ด้วยเหตุผลที่ไม่แน่ชัด แม่เลี้ยงของฮิเมะกิมิกลับบังคับนายทหารผู้นั้นให้แต่งงานกับซานโนคิมิ บุตรสาวแท้ๆของเธอ นอกจากนี้เธอยังบังคับให้ฮิเมะกิมิห้ามกลับเข้ามาในบ้าน มิฉะนั้นจะจับเธอให้แต่งงานกับทหารยามสักคนหนึ่ง

ฮิเมะกิมิเสียใจมาก เธอจึงหนีไปยังหมู่บ้านซูมิโยชิใกล้กับเมืองโอซาก้า ฮิเมะกิมิทำงานเป็นคนรับใช้ในศาลเจ้าให้กับแม่ชีคนหนึ่งที่เคยเป็นพยาบาลให้กับแม่แท้ๆของเธอมาก่อน

งานแต่งงานของนายทหารกับซานโนคิมิเป็นงานแต่งงานที่ไม่มีความสุข ภายในไม่นานนายทหารผู้นั้นกลับฝันประหลาด เขาฝันว่าเขาถูกใครสักคนพาไปยังศาลเจ้าที่หมู่บ้านซูมิโยชิ เมื่อเขาตื่นขึ้น เขาเดินทางไปยังศาลเจ้าดังกล่าวทันที

ที่ศาลเจ้าแห่งนั้น เขาได้พบกับฮิเมะกิมิ หญิงสาวที่เขารัก ทั้งสองได้แต่งงานกันและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตลอดไป ขณะที่มารดาเลี้ยงและลูกสาวทั้งสองของเธอถูกไล่ออกไปจากบ้าน และใช้ชีวิตด้วยความลำบาก

เรื่องนี้ปรากฏครั้งแรกในช่วงศตวรรษที่ 10 ทั้งนี้ตำนานญี่ปุ่นยังมีเรื่องที่คล้ายๆ กันอีกเรื่องหนึ่งนั่นคือ Ochikubo Monogatari

4. Le Fresne จากฝรั่งเศส

ในช่วงยุคกลางมีหญิงชนชั้นสูงที่มีฐานะร่ำรวยนางหนึ่งได้ทิ้งลูกสาวที่ยังเป็นทารกไว้ที่ต้นแอ็ช (Ash) เพราะบุตรสาวของเธอเป็นลูกแฝด ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ผู้คนเข้าใจผิดว่าการมีลูกแฝดเกิดจากการมีสามีสองคน หญิงนางนั้นจึงกลัวมากและนำลูกสาวคนหนึ่งมาทิ้งไว้ ก่อนที่เธอจะจากไป เธอได้วางแหวนและผ้าไว้กับทารกน้อย

โชคดีที่มีผู้มาพบเด็กสาวที่ถูกทิ้งเอาไว้ ทารกผู้นั้นจึงถูกนำไปให้แม่ชีในโบสถ์แถวนั้นเป็นผู้เลี้ยงดู ชื่อของเธอคือ เฟรสนี หรือ เฟนส์ (Fresne) ตามสถานที่ที่เธอถูกพบ

เมื่อเฟนส์เติบโตขึ้น มีชายชั้นสูงคนหนึ่งมาพบเธอเข้าและตกหลุมรักเธอ แต่เขากลับมีคู่หมั้นอยู่แล้ว เขาจึงถูกบังคับให้แต่งงานกับผู้หญิงที่เขาไม่ได้รัก

เฟนส์ยอมรับว่าเรื่องของเธอและเขาคงจะเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ยังอุตส่าห์เข้าไปเป็นสาวใช้ในงานแต่งงานของเขา เฟนส์ ได้ใช้ผ้าที่แม่ของเธอทิ้งไว้กับตัวเธอเมื่อครั้งยังเป็นทารก คลุมเตียงที่จะถูกใช้เป็นเตียงในวันแต่งงานของชายที่เธอรัก

เรื่องกลับกลายเป็นว่า หญิงที่จะแต่งงานกับชายที่เฟนส์รักคือ พี่สาวคู่แฝดของเธอเอง มารดาของเฟนส์เดินเข้ามาในห้องและจำได้ว่าผ้าชิ้นนี้เป็นผ้าที่เคยใส่ไว้ในตัวของเฟนส์ ชาติกำเนิดของเฟนส์จึงถูกเปิดเผยนับตั้งแต่บัดนั้น

ด้วยเหตุนี้เฟนส์จึงมาแต่งงานกับชายที่เธอรัก และได้กลับเข้ามาอยู่กับครอบครัวที่แท้จริงในที่สุด ส่วนพี่น้องฝาแฝดของเธอก็แต่งงานกับชายชนชั้นสูงอีกคนหนึ่ง

เรื่องนี้ปรากฏในศตวรรษที่ 12 ในฝรั่งเศส

5. Cenerentola ของชาวอิตาเลียน

เจ้าชายองค์หนึ่งมีลูกสาวชื่อ Zezolla หรือ Tonnie (ทอนนี) เธอได้ถูกเลี้ยงดูโดยนางข้าหลวงคนหนึ่งเป็นอย่างดี ทอนนีจึงช่วยเหลือให้นางข้าหลวงคนนี้แต่งงานกับบิดาของเธอ

หลังจากที่นางข้าหลวงแต่งงานกับบิดาของเธอแล้วก็ให้กำเนิดบุตรสาวถึง 6 คน เมื่อลูกสาวทั้งหกเติบโตขึ้นก็กดขี่ทอนนีสารพัดด้วยการสั่งให้เธอทำงานเป็นคนรับใช้

บิดาของทอนนีได้ของดีจากเกาะวิเศษมาหลายอย่าง แต่สิ่งที่ทอนนีได้รับคือเมล็ดอินทผลัมเม็ดหนึ่ง ทอนนีได้นำมันไปปลูกจนมันกลายเป็นต้นอินทผลัมต้นหนึ่ง

มีอยู่วันหนึ่งกษัตริย์ของเมืองจัดงานเลี้ยงฉลองใหญ่ ทอนนีอยากไปร่วมงานด้วยแต่ไม่มีชุดดีๆ ใส่เลย ปรากฏว่าต้นอินทผลัมที่เธอเพียรปลูกขึ้นมาเป็นต้นไม้วิเศษ ภูติที่อยู่ในต้นไม้ต้นนั้นออกมาและเสกเครื่องแต่งกายอย่างดีให้กับทอนนี

เมื่อได้เครื่องแต่งกายแล้ว เธอจึงเดินทางไปยังงานเลี้ยง กษัตริย์ตกหลุมรักเธอทันทีตั้งแต่แรกพบหน้าเธอ แต่ทอนนีกลับเลือกที่จะหลบหนี ทำให้กษัตริย์เหลือแต่เพียงรองเท้าของเธอเอาไว้ต่างหน้าเท่านั้น

ด้วยความที่ต้องการจะหาตัวเธอ กษัตริย์จึงจัดงานเลี้ยงครั้งใหญ่และเชิญหญิงโสดทั้งอาณาจักรมาที่งาน ภายในงาน กษัตริย์ได้โปรดให้นำรองเท้าคู่นั้นมาให้หญิงโสดทุกคนสวมใส่ แต่ไม่มีใครที่ใส่รองเท้าคู่นี้ได้เลย จนกระทั่งคิวของทอนนี ปรากฏว่ารองเท้าลอยละลิ่วเข้ามาสวมที่รองเท้าของเธอด้วยตัวของมันเอง ทำให้กษัตริย์พบนางในฝันของเขาแล้ว ทั้งสองแต่งงานกันและมีความสุขตลอดไป

เรื่องนี้เขียนโดย Giambattista Basile แต่ถูกตีพิมพ์หลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้วในปี ค.ศ.1634

ส่งท้าย

นอกเหนือจากตำนานซินเดอเรลล่าทั้ง 5 นี้แล้ว ยังมี “ซินเดอเรลล่า” เวอร์ชั่นอื่นๆ ด้วยเช่นของสองพี่น้องตระกูลกริมที่มีความดาร์คมากกว่าทั่วไป หรือในตำนานอาหรับที่ตัว “ซินเดอเรลล่า” เป็นผู้ชาย แต่เนื่องจากตำนานเหล่านี้ยาวเกินไป ผมขออนุญาตเก็บไปเล่าเดียวๆ ในภายหลังครับ

Sources:

  • Roger Lancelyn Green: Tales of Ancient Egypt
  • Beauchamp, Fay. Asian Origins of Cinderella: The Zhuang Storyteller of Guangxi
  • Graham. Fairytale in the Ancient World
  • Basile, Giambattista. Stories from Pentamerone

บทความการศึกษา

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!