เรื่องจากยากจนสู่ร่ำรวยมีอยู่หลายเรื่องในประวัติศาสตร์โลก แต่จะหาเรื่องใดที่สุดโต่งอย่าง ซารินาแคทเทอรีนที่ 1 เป็นไปได้ยากอย่างยิ่ง สาเหตุคือแคทเทอรีนมาจากชนชั้นล่างสุดของสังคม แต่ในบั้นปลายเธอกลับขึ้นเป็นจักรพรรดินี ผู้ปกครองอาณาจักรผู้ยิ่งใหญ่ด้วยตัวของเธอเอง
บางท่านอาจจะเปรียบเธอกับบูเช็คเทียน แต่จริงๆแล้วแคทเทอรีนต่างกับบูเช็คเทียนมาก บูเช็คเทียนมาจากชนชั้นผู้ดีและได้รับการศึกษามาอย่างยอดเยี่ยมแบบเดียวกับปัญญาชนชายในสังคมราชวงศ์ถัง แต่แคทเทอรีนแทบไม่เคยได้รับการศึกษาใดๆ เลย
นอกจากนี้แคทเทอรีนยังไม่เคยทำร้ายใครเพื่ออำนาจเหมือนบูเช็คเทียน เธอเป็นผู้หญิงนุ่มๆ น่ารักและอ่อนหวาน นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้คนจำนวนมากยอมรับเธอ และไม่ต่อต้านการขึ้นสู่อำนาจของเธอเลย
ชาติกำเนิดของเธอ
ชื่อเดิมของแคทเทอรีนคือ มาร์ตา เฮเลนา สคอฟรอนสกา (Marta Helena Skowrońska) นักประวัติศาสตร์ไม่แน่ชัดว่าพ่อแม่ของเธอเป็นใครมาจากไหนกันแน่ แต่ที่แน่ชัดคือทั้งสองเป็นชนชั้นล่างของสังคม
บ้างตำนานเล่าว่าพ่อของเธอเป็นคนขุดศพหรือชนใช้แรงงานทั่วไป บ้างว่าเขาเป็นพวกเซิร์ฟที่หลบหนีจากเจ้าของที่ดิน แต่ที่ค่อนข้างแน่ชัดคือ พ่อของมาร์ตามาจากอาณาจักรโปลิช-ลิทัวเนียน ศัตรูคู่แค้นของรัสเซียที่ต้องขับไล่ไปเมื่อตั้งราชวงศ์โรมานอฟ
แม่ของเธอยิ่งแล้วใหญ่ แม่ของเธอมีเชื้อสายเยอรมันที่มาจากดินแดนริมฝั่งทะเลบอลติก (น่าจะแถบเอสโตเนีย) นี่คือสิ่งที่เรารู้จากหลักฐานที่มีอยู่ การที่ข้อมูลดูขาดแคลนเช่นนี้เพราะเรื่องชาติกำเนิดของเธอถือเป็นความลับสุดยอดในราชวงศ์โรมานอฟ มันจึงไม่เคยถูกเผยแพร่ออกมาสู่สาธารณะ
ในปี ค.ศ.1689 พ่อและแม่ของมาร์ตาเสียชีวิตจากโรคระบาด มาร์ตาจึงย้ายไปอยู่กับป้าใกล้กับชายแดนรัสเซีย บาทหลวงลูเธอรันชื่อ Glück ได้เป็นผู้เลี้ยงดูเธอให้เติบโตขึ้นเป็นสาวในฐานะคนรับใช้คนหนึ่ง มาร์ตาทำหน้าที่รับใช้สารพัดอย่างอาทิเช่น ซักเสื้อผ้า การที่อยู่ในสถานะเช่นนี้ทำให้มาร์ตาไม่เคยได้เรียนหนังสือเลย เธอไม่อาจอ่านหรือเขียนได้ตลอดชีวิตของเธอ
สิ่งที่พระเจ้าทรงให้มาร์ตามาคือ ความสวย เธอสวยชนิดที่เรียกว่าสวยมาก บาทหลวง Glück ผู้เลี้ยงดูเธอมาเกรงว่าลูกชายของเขาจะหลงเสน่ห์ของคนรับใช้ผู้นี้ เขาจึงจับมาร์ตาแต่งงานกับทหารสวีดิชผู้หนึ่งที่ประจำการอยู่ในเมือง เพื่อเป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม
ชีวิตในวัยเด็กและวัยสาวของมาร์ตาเรียกได้ว่าลำบากอย่างมาก เธอไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกอะไรเลย ทุกสิ่งล้วนแต่กำหนดโดยคนอื่นทั้งสิ้น
ในขณะนั้นซาร์ปีเตอร์มหาราชทรงประกาศสงครามกับสวีเดน กองทัพสวีดิชกำลังถอนกำลังหนีกองทัพรัสเซีย มาร์ตาที่เพิ่งแต่งงานได้หมาดๆ จึงอยู่กับสามีได้เพียง 7 วันเท่านั้น สามีก็จากไปพร้อมกับกองทัพสวีเดน มาร์ตาจึงกลับมาอยู่กับบาทหลวงคนเดิมที่เลือกดูเธอมาอีกครั้งหนึ่ง เธอไม่ได้พบกับสามีแต่ในนามคนนี้อีกเลย
เข้าสู่ดินแดนรัสเซีย
บาทหลวง Glück ได้เสนอตัวเป็นล่ามให้กับโบริส เชเรมีเตฟ (Boris Sheremetev) แม่ทัพใหญ่ฝ่ายรัสเซีย เหตุการณ์ช่วงนี้ค่อนข้างคลุมเครือ บ้างว่ามาร์ตาได้ทำงานอยู่ในฝ่ายซักรีดของกองทัพรัสเซีย หรือแม้กระทั่งมาร์ตาถูกมอบให้เป็นภรรยาน้อยของแม่ทัพรัสเซียคนหนึ่ง
ไม่ว่าจะเรื่องจะเป็นแบบใดก็ตาม มาร์ตาได้ติดตามกองทัพของเชเรมีเตฟกลับไปยังมอสโคว์ เธอได้อาศัยอยู่ในบ้านของเขาในฐานะภรรยาน้อยหรือคนรับใช้ ต่อมาเมนชิคอฟ (Menshikov) สหายสนิทของซาร์ปีเตอร์มหาราชได้ซื้อมาร์ตาไปอยู่ที่บ้านจากเชเรมีเตฟอีกต่อหนึ่ง ไม่มีใครแน่ใจว่าเธออยู่ในฐานะภรรยาน้อยหรือคนรับใช้ (อีกแล้ว)
เรื่องที่ว่ามาร์ตาตกเป็นของเชเรมีเตฟกับเมนชิคอฟหรือไม่มันเป็นเรื่องที่คลุมเครือ หรืออาจจะเพราะว่ามีผู้ต้องการทำให้คลุมเครือ เพื่อที่จะรักษาเกียรติยศของมาร์ตาซึ่งต่อมาได้เป็นจักรพรรดินีก็เป็นไปได้
สรุปแล้วคือ ชีวิตของมาร์ตาในช่วงวัยสาวต้องระหกระเหินเร่ร่อนไปเรื่อย แต่เธอไม่เคยยอมแพ้ เธอเป็นคนที่มีทัศนคติที่ดีมาก เธอมองโลกในแง่บวกและเป็นคนที่มีความกระตือรือร้นอย่างสูงยิ่ง ถ้าทำงานอะไร เธอจะทำอย่างเต็มความสามารถ
เมนชิคอฟเป็นผู้มักใหญ่ใฝ่สูงและคอรัปชั่น เขาต้องการให้ซาร์ปีเตอร์ทรงมีมเหสีที่เขาไว้วางใจได้และคอยสนับสนุนเขาอยู่เบี้องหลัง มาร์ตาเองก็เป็นคนสวยมาก กิริยามารยาทก็น่ารักเอาใจเก่ง แถมยังเป็นคนฉลาด ดังนั้นมาร์ตาจึงเพอร์เฟ็กต์ที่สุดที่เมนชิคอฟจะถวายให้กับซาร์ปีเตอร์ ผู้มีอารมณ์ร้อนพลุ่งพล่าน
ความรักกับปีเตอร์มหาราช
ในวันหนึ่งเมื่อซาร์ปีเตอร์เสด็จมาหาเขาที่บ้าน เมนชิคอฟนำมาร์ตามาพบพระองค์ เมื่อซาร์ปีเตอร์ทอดพระเนตรเห็นมาร์ตา พระองค์ตกหลุมรักมาร์ตาแทบจะในบัดดล เมนชิคอฟจึงเอ่ยปากว่าเขาจะยกนางให้กับพระองค์ ปีเตอร์ตรัสตกลงด้วยความยินดียิ่ง
ปีเตอร์ทรงตกหลุมรักมาร์ตาอย่างจริงจัง ความรักครั้งนี้เป็นความรักแท้ครั้งเดียวในชีวิตของซาร์พระองค์นี้ ก่อนหน้านี้พระองค์เคยสมรสมาแล้วกับซารินาเยฟดาคิยาที่พระมารดาเลือกมาให้ แต่พระองค์ไม่โปรดเธอเลยสักนิดเดียว สตรีคนต่อมาอย่างแอนนา มอนส์ ก็คบกันเล่นๆ เพียงไม่กี่ปีเท่านั้น สำหรับมาร์ตาที่อายุอ่อนกว่าพระองค์ 12 ปี และมีนิสัยอ่อนหวาน เธอจึงทำให้พระองค์หลงใหลในตัวเธอมาก
หลังจากนั้นปีเตอร์โปรดให้มาร์ตาอยู่ในฐานะภรรยาลับ แต่ความรักระหว่างพระองค์และมาร์ตาหวานชื่นมาก พระองค์ประทับอยู่กับมาร์ตาในบ้านที่มีห้องแค่สามห้องในเซนต์ปีเตอร์สเปิร์ก เมืองหลวงใหม่ที่พระองค์เพิ่งจะโปรดให้สร้าง มาร์ตาได้เปลี่ยนศาสนาเป็นศาสนาคริสต์นิกายรัสเซียนออโธดอกซ์ เมื่อเธอเปลี่ยนศาสนา เธอต้องเปลี่ยนชื่อด้วย ชื่อใหม่ของเธอคือ “แคทเทอรีน”
ในปี ค.ศ. 1707 ซาร์ปีเตอร์ทรงแต่งงานกับแคทเทอรีนอย่างลับๆ ทั้งสองมีโอรสธิดาด้วยกันหลายคน ชีวิตรักของทั้งสองสดใสมากเหมือนกับคู่รักทั่วไป แคทเทอรีนทำหน้าที่ดูแลลูกและทำอาหาร ส่วนปีเตอร์ทรงดูแลสวน ระหว่างที่ปีเตอร์ไปรบ ทั้งสองจะแลกเปลี่ยนจดหมายกันตลอดเวลา ภายในจดหมายล้วนแต่มีถ้อยคำที่แสดงความรักอันสดใสของชายหนุ่มและหญิงสาว
แคทเทอรีนมีโอกาสติดตามปีเตอร์ไปรบกับอาณาจักรออตโตมันในปี ค.ศ.1711 ที่แม่น้ำ Pruth แต่ทว่าปีเตอร์กลับทรงเสียท่า กองทัพออตโตมันที่มีจำนวนห้าเท่าของกองทัพรัสเซียได้ล้อมกองทัพของปีเตอร์เอาไว้อย่างแน่นหนา ปีเตอร์สามารถถูกศัตรูจับเป็นเชลยเมื่อใดก็ได้ และถ้าพระองค์ถูกจับเป็นเชลย สิ่งที่พระองค์เพียรพยายามมาตลอดหลายสิบปีย่อมต้องถูกทำลายไปในพริบตา
แคทเทอรีนทูลให้ปีเตอร์ทำการติดสินบนแกรนด์วิเชียร์ (Grand Vizier) หรืออัครมหาเสนาบดีของอาณาจักรออตโตมันเพื่อขอทำการสงบศึก แผนการของแคทเทอรีนประสบความสำเร็จ กองทัพออตโตมันยอมคลายวงล้อมกองทัพรัสเซียและทำสัญญาระหว่างกัน โดยรัสเซียเป็นฝ่ายเสียเปรียบน้อยมาก (จริงๆแล้วควรจะเสียมากกว่านี้เยอะ) ปีเตอร์และกองทัพรัสเซียจึงถอยกลับไปได้อย่างปลอดภัย
ในประเด็นนี้ไม่แน่ชัดว่า แคทเทอรีนเป็นผู้เสนอแผนการดังกล่าวทั้งหมด หรือเป็นผู้โน้มน้าวให้ปีเตอร์ปฏิบัติตามแผนดังกล่าวที่มีผู้เสนอมา แต่ปีเตอร์ทรงมองว่าความดีความชอบเป็นของแคทเทอรีน ด้วยเหตุนี้ปีเตอร์ตัดสินพระทัยที่จะอภิเษกสมรสกับเธออีกครั้งอย่างเป็นทางการ ทั้งสองอภิเษกสมรสกันที่มหาวิหารเซนต์ไอแซค แคทเทอรีนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นซารินาเคียงคู่กับซาร์อย่างปีเตอร์
สิ่งที่แคทเทอรีนสามารถทำได้แต่คนอื่นมิอาจทำได้คือ การสงบอารมณ์อันรุนแรงของปีเตอร์ แคทเทอรีนยังอยู่ข้างกายปีเตอร์ตลอดเวลาที่อาการชักของพระองค์กำเริบ เธอดูแลพระองค์อย่างดีในฐานะภรรยาที่ดีอยู่เสมอโดยไม่ห่างหาย
แคทเทอรีนและปีเตอร์มีลูกด้วยกันถึง 12 คน ปีเตอร์เองหวังว่าจะมอบบัลลังก์ให้กับโอรสคนใดคนหนึ่งที่เกิดกับแคทเทอรีน แต่เป็นเรื่องเศร้าที่มีพระธิดาเพียง 2 พระองค์ที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ พระโอรสทุกพระองค์ล้วนแต่สิ้นพระชนม์ในวัยเด็กจนหมดสิ้น
แคทเทอรีนขึ้นครองราชย์
หากแต่ว่าแคทเทอรีนกลับขัดแย้งกับปีเตอร์ในบั้นปลายในชีวิตของปีเตอร์เอง เพราะแคทเทอรีนสนิทสนมกับวิลเลม มอนส์ พี่ชายของแอนนา มอนส์ ภรรยาลับคนเก่าของปีเตอร์ วิลเลม มอนส์ผู้นี้ได้ใช้ความสนิทสนมกับแคทเทอรีนเป็นช่องทางในการทำเงินหาประโยชน์กับผู้ที่ต้องการเข้าถึงปีเตอร์
เมื่อปีเตอร์ ผู้ที่เกลียดคอรัปชั่นเหนือสิ่งอื่นใดทราบเรื่องก็พิโรธจัด พระองค์โปรดให้ประหารชีวิตวิลเลม มอนส์ทันที พระองค์ยังกริ้วไปถึงแคทเทอรีนด้วย ปีเตอร์ทรงไม่ตรัสกับแคทเทอรีนนานเป็นเวลาหลายเดือนเลยทีเดียว
หลังจากนั้นไม่นาน ในปี ค.ศ.1725 ปีเตอร์สวรรคตลงโดยที่ยังไม่ได้ขนานนามรัชทายาท เมนชิคอฟจึงนำกำลังเข้าควบคุมอำนาจในเมืองหลวง และประกาศให้แคทเทอรีนขึ้นเป็นจักรพรรดินีแห่งรัสเซีย แคทเทอรีนจึงกลายเป็นจักรพรรดินีแคทเทอรีนที่ 1 จักรพรรดินีผู้เป็นผู้ปกครองหนึ่งเดียวแห่งอาณาจักรรัสเซีย
สาเหตุที่ไม่มีผู้ใดต่อต้านแคทเทอรีนที่ 1 เลยก็เพราะว่า เธอมีท่าทีเป็นมิตรกับทุกคนเสมอมา เธอไม่เคยสร้างศัตรูกับผู้ใด เหล่าทหารรักษาพระองค์ต่างเคารพเธอมาก กลุ่มอำนาจใหม่ในเซนต์ปีเตอร์เบิร์กเองก็สนับสนุนเธอเต็มร้อย เมนชิคอฟเองก็ควบคุมกำลังในเมืองหลวงได้เบ็ดเสร็จ การต่อต้านซารินาพระองค์ใหม่จึงเป็นศูนย์
แคทเทอรีนโปรดให้ดำเนินการปฏิรูปประเทศในสมัยของปีเตอร์ต่อไปและใช้เงินในท้องพระคลังอย่างประหยัด พระนางโปรดให้ลดงบประมาณทางด้านกองทัพลง เพื่อที่จะลดภาษีให้กับเหล่าชาวนาได้ รัชสมัยของพระนางจึงเป็นรัชสมัยที่ผ่อนคลายลงจากรัชสมัยแห่งสงครามของปีเตอร์ พระนางดำเนินนโยบายอย่างระมัดระวังตลอดมา รัสเซียจึงค่อยๆ ฟื้นฟูจากสงครามตามลำดับ
หากแต่ว่าแคทเทอรีนกลับอยู่ในบัลลังก์ได้ไม่นานนัก ภายในเวลาเพียง 2 ปีเศษ แคทเทอรีนก็ตามพระสวามีไปเพราะอาการฝีในปอด แคทเทอรีนมีอายุได้เพียง 43 ปีเมื่อเธอสวรรคต การครองบัลลังก์ของเธอเปิดช่องให้ประมุขของรัสเซียในเวลาต่อมาเป็นผู้หญิงอีกถึงสามคน นั่นก็คือซารินาแอนนา ซารินาเอลิซาเบธ และซารินาแคทเทอรีนมหาราช
เมนชิคอฟจอมคอรัปชั่นหมดบุญวาสนาไม่นานหลังจากการสวรรคตของแคทเทอรีน เขาถูกริบทรัพย์สินทั้งหมดและถูกเนรเทศไปยังไซบีเรีย เขาเสียชีวิตในเขตไซบีเรียในปี ค.ศ.1729