Ooops... Error 404

Sorry, but the page you are looking for doesn't exist.

สงครามอิมจิน ตอนที่ 2: การรุกคืบของญี่ปุ่น

กองทัพหน้าของโคนิชิ ยูกินากะมุ่งหน้ามาถึงป้อมตงแน (Dongnae) พอเดินทัพมาถึง โคนิชิก็รีบส่งสาส์นเข้าไปให้ฝ่ายโชซอนยอมแพ้ โดยในสาส์นมีเนื้อหาว่าถ้าทหารโชซอนยอมจำนน ตนจะไม่ทำอันตรายกับผู้ใดทั้งสิ้น แต่แม่ทัพโชซอนอย่างซงซังฮยอนกลับตอบกลับไปว่า สำหรับตัวเขาแล้วนั้น การยอมตายนั้นง่ายกว่าให้โคนิชิผ่านไป ดังนั้นโคนิชิจึงสั่งให้กองทัพญี่ปุ่นทั้งหมดทุ่มกำลังโจมตี หลักฐานญี่ปุ่นว่าโคนิชิใช้เวลา 4 ชั่วโมงถึงจะตีเมืองให้แตกได้ ส่วนฝั่งเกาหลีว่าใช้เวลาถึงสิบสองชั่วโมง แต่ที่แน่ๆ ทหารเกาหลีตลอดจนประชาชนทั่วไปในป้อมนั้นต่อสู้อย่างสุดชีวิต จนสุดท้ายพลีชีพร่วมกันทั้งเมือง การสูญเสียเมืองและป้อมปราการของโชซอนนั้น ทำให้ก่อให้เกิดความตื่นตระหนก แม้ว่าประชาชนส่วนมากจะเกลียดชังการรุกรานอย่างโหดเหี้ยมของญี่ปุ่น แต่ภายในราชสำนักกลับตกอยู่ในความวุ่นวาย ทำให้ญี่ปุ่นนั้นรุกตีเมืองแดกู (Daegu)...

ชีวิตพลิกผันของฮั่นซวนตี้ ตอนจบ: กวาดล้างตระกูลฮั่ว

ในทางทฤษฎีแล้ว ฮั่นซวนตี้นั้นทรงเป็นหนี้บุญคุณฮั่วกวงที่ยกบัลลังก์ให้กับพระองค์ และพระองค์ก็เคารพนับถือฮั่วกวงอย่างมาก แม้กระทั่งตอนที่ฮั่วกวงสิ้นชีวิต พระองค์ยังเสด็จไปงานศพของฮั่วกวง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีฮ่องเต้องค์ใดทรงปฏิบัติมาก่อน ถึงกระนั้นพฤติการณ์ของตระกูลฮั่วที่เหิมเกริมขึ้นทุกวัน ทำให้พระองค์ทรงไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการที่ฮั่วหวงโฮ่วพยายามหาเหตุกำจัดไท่จื่อ และการสิ้นพระชนม์อย่างลึกลับของสีว์หวงโฮ่ว หญิงที่พระองค์รัก นับตั้งแต่บัดนั้นฮั่นซวนตี้จึงวางแผนล้มตระกูลฮั่วอยู่เงียบๆ แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะองคาพยพของตระกูลฮั่วนั้นครอบงำราชสำนักมานาน แถมลูกหลานของตระกูลฮั่วยังดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ถ้าพระองค์ทรงดำเนินแผนการพลาดไป ฮั่นซวนตี้เองก็มิอาจจะนั่งบัลลังก์อยู่ได้ เพราะฉะนั้นแผนการของพระองค์ก็คือ พระองค์จะมอบตำแหน่งสูงศักดิ์ให้กับตระกูลฮั่วแต่ละคน แต่เป็นตำแหน่งที่ปราศจากอำนาจในกำมือ แผนการนี้ได้บั่นทอนตระกูลฮั่วลงอย่างช้าๆ และแนบเนียนที่สุด ถึงกระนั้นตระกูลฮั่วเองก็มิใช่คนโง่ แต่ละคนนั้นเริ่มแสดงความไม่พอใจต่อฮั่นซวนตี้มากขึ้นตามลำดับ...

ชีวิตที่ผกผันเปลี่ยนแปรของฮั่นซวนตี้ ตอนที่ 3: กรณีหวงโฮ่ว

หลังจากที่ฮั่นซวนตี้ได้ขึ้นนั่งบัลลังก์แล้ว ทุกอย่างเหมือนกับว่าจะเป็นแบบ Happy ending เพราะบัลลังก์มังกรได้กลับมาตกอยู่กับสายตระกูลที่ควรจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ตั้งแต่แรก แต่นั่นเป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น การเมืองในราชสำนักนั้นยังคงไม่เสถียร การเปลี่ยนแปลงยังเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา สิ่งที่เป็นปัญหาหนักอกของฮ่องเต้หนุ่มนั้นกลับเป็นเรื่องของหวงโฮ่ว (ฮองเฮา) อนึ่งฮั่นซวนตี้นั้นได้สมรสแล้วมีภรรยาเอกคือสีว์ผิงจวิน บุตรสาวของขุนนางตระกูลสีว์ ซึ่งจางเฮ่อได้เป็นพ่อสื่อและจัดการทุกอย่างให้ หลังจากที่ฮั่นซวนตี้ขึ้นนั่งบัลลังก์ พระองค์ก็ได้โปรดให้สีว์ผิงจวินเข้าวังมารับตำแหน่งเป็นราชเทวี เพื่อรอวันที่จะสถาปนาเป็นหวงโฮ่วคู่กับพระองค์สืบต่อไป ฮั่นซวนตี้นั้นทรงรักใคร่สีว์ผิงจวินไม่น้อย อนึ่งนางเป็นภรรยาคู่ทุกข์ยากที่เพิ่งให้กำเนิดบุตรชายแก่พระองค์ไม่นานนัก ทำให้พระองค์ปรารถนาจะให้นางเป็นหวงโฮ่วเป็นพิเศษ ปัญหาเรื่องหวงโฮ่ว ถึงกระนั้นความต้องการของพระองค์กลับขัดกับความประสงค์ของพวกขุนนางที่ปรารถนาจะให้ฮ่องเต้ทรงอภิเษกสมรสกับฮั่วเฉิงจวิน บุตรสาวของฮั่วกวง และแต่งตั้งนางเป็นหวงโฮ่ว ท่าทีของพวกขุนนางนั้นไม่ต้องสงสัยว่าเป็นการกดดันของตระกูลฮั่วที่มีอำนาจล้นฟ้าในขณะนั้น หากแต่ว่าฮั่นซวนตี้กลับทรงปฏิเสธอย่างชาญฉลาด พระองค์ตรัสว่าต้องการพระแสงดาบที่ทรงใช้เมื่อครั้งยังเป็นสามัญชน...

ชีวิตที่ผกผันเปลี่ยนแปรของฮั่นซวนตี้ ตอนที่ 2: ขึ้นนั่งบัลลังก์

หลิวปิ้งอีนั้นเจริญวัยขึ้นภายใต้การสนับสนุนของจางเฮ่อ ขันทีเก่าของพระอัยกาที่ดูแลตนเองดุจดั่งเป็นนายน้อย เมื่อหลิวปิ้งอีอายุได้ 15 ปี จางเฮ่อก็ปรารถนาจะให้เขาได้เป็นฝั่งเป็นฝา ดังนั้นจึงเริ่มต้นสรรหาคู่ครองที่เหมาะสมให้ ถ้าว่ากันตามตรงแล้ว สถานะของหลิวปิ้งอีในเวลานั้นยังเป็นสามัญชน เนื่องด้วยครอบครัวของเขาถูกฮั่นหวู่ตี้กวาดล้างไปแล้ว สถานะองค์ชายของพระบิดาและอัยกาย่อมถูกยกเลิก แถมผู้คนทั้งเมืองหลวงก็ยังรู้ว่าหลิวปิ้งอีนั้นเคยโดนอาญาแผ่นดินไปก่อน ทำให้ตัวหลิวปิ้งอีนั้นแม้จะสายเลือดสูงส่ง สติปัญญาดี และนิสัยใจคอมีเมตตา แต่ก็หาคู่ครองที่เหมาะสมไม่ง่ายนัก เพราะไม่มีใครยกให้ เนื่องด้วยเกรงว่าจะเผชิญราชภัยจากการไปข้องเกี่ยวกับหลิวปิ้งอี จางเฮ่อหาคนที่เหมาะสมอยู่นาน แต่ก็ยังหาไม่พบ จางเฮ่อจึงคิดจะยกหลานสาวของตนเองให้กับหลิวปิ้งอี แต่จางอันสื่อ น้องชายของตนเองทัดทานเอาไว้ เพราะเกรงว่าจะนำภัยมาสู่ครอบครัวเช่นกัน ทำให้จางเฮ่อยังคงคว้าน้ำเหลวต่อไป ท้ายที่สุดจางเฮ่อจึงได้เชิญลูกน้องของตนนามว่าสีว์กวงหานมาที่งานเลี้ยง...

ชีวิตที่ผกผันเปลี่ยนแปรของฮั่นซวนตี้ ตอนที่ 1: เคราะห์กรรมของครอบครัว

ถ้าจะถามผมว่าชีวิตของฮ่องเต้คนไหนในหน้าประวัติศาสตร์จีนดราม่าที่สุด ชื่อแรกที่ผมคิดขึ้นมาได้ในหัวคือ ฮั่นซวนตี้ ชีวิตของพระองค์นั้นขึ้นลงอย่างไม่น่าเชื่อ และน่าจะเรียกได้ว่าเอาไปทำซีรีส์จีนได้สบายๆ แต่แปลกเหมือนกันที่ยังไม่เคยมีใครนำเรื่องของพระองค์ไปทำ ชีวิตของพระองค์สรุปในประโยคเดียวได้ว่าเริ่มต้นที่เป็นหงส์ฟ้า หลังจากนั้นก็ตกสู่พสุธากลายเป็นเป็ดตามหนองน้ำดินโคลนตัวหนึ่ง ก่อนที่โชคชะตาจะเกื้อหนุนให้กลายเป็นหงส์ฟ้าอีกครั้งหนึ่ง เราไปดูกันเลยดีกว่าครับ ชีวิตของพระองค์เป็นอย่างไรบ้าง หายนะในครอบครัว ฮั่นซวนตี้มีนามเดิมว่าหลิวปิ้งอี (Liu Bingyi) โดยเป็นโอรสของหลิวจิ้น ผู้เป็นบุตรของหลิวจีว์ โอรสของฮั่นหวู่ตี้อีกทีหนึ่ง สรุปง่ายๆ คือฮั่นหวู่ตี้เป็นทวดของหลิวปิ้งอี ส่วนหลิวจีว์นั้นเป็นปู่ของหลิวปิ้งอีนั่นเอง ทว่าในปีที่หลิวปิ้งอีเกิดนั้น ฮั่นหวู่ตี้ทรงหลงเชื่อคำกล่าวของขุนนางทุจริต ทำให้เข้าพระทัยว่าผู้คนมากมายจะทำร้ายพระองค์ด้วยมนตร์ดำ หลิวจีว์ก็เป็นหนึ่งในนั้น...

มหาสงครามฮั่น-ซงหนู ตอนที่ 4: ซงหนูแตกพ่าย

ในปี 123 ก่อนคริสตกาล กองทัพฮั่นของเว่ยชิงยกออกจากเมืองติ้งเซียงเข้าโจมตีซงหนู โดยในการศึกครั้งนี้มีหลายชายวัย 18 ปีนามว่าฮั่วชี่ปิ้งติดตามมาด้วยในฐานะนายทหารจบใหม่ที่เพิ่งได้มาออกศึกเป็นครั้งแรก ฮั่วชี่ปิ้งนั้นได้รับมอบหมายให้ควบคุมทหารม้าเบา (สวมใส่เกราะอ่อนเพราะฉะนั้นเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว) โดยมีหน้าที่หลักคือนำทหารม้ากองนี้แยกออกจากกองทัพหลัก และกวาดล้างทหารซงหนูแนวหลังโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ตั้งตัว ด้วยกำลังเพียง 800 นายและต้องข้ามทะเลทราย ทำให้ฮั่วชี่ปิ้งรับหน้าที่ที่เสี่ยงมาก กองทัพของเว่ยชิงในรอบนี้นั้นกลับเดินทัพพลาด เพราะกองทัพหน้านั้นหลวมตัวเข้าไปเผชิญหน้ากับกองทัพหลวงของอีจื่อเสียฉานหยี่ว์ ทำให้ถูกโอบล้อมและทำลายทั้งกองทัพ แต่เว่ยชิงก็ยังกู้หน้าได้ด้วยการตีกองทัพซงหนูแตก และสังหารทหารซงหนูไปหมื่นกว่าคน คนที่ได้ความดีความชอบที่สุดคือฮั่วชี่ปิ้ง เพราะเขาบุกเข้าโจมตีแนวหลังและสังหารปู่ของฉานหยี่ว์ได้สำเร็จ รวมไปถึงทหารซงหนูอีกสองพันกว่าคน และจับกุมเชลยศึกเป็นชนชั้นสูงซงหนูได้เป็นจำนวนมาก...

มหาสงครามฮั่น-ซงหนู ตอนที่ 3: การศึกโหมโรง

ความสัมพันธ์ระหว่างฮั่น-ซงหนูหลังจากที่ฮั่นเกาจู่ยินยอมที่จะดำเนินยุทธศาสตร์การแต่งงานนั้นเป็นไปแบบไม่ราบรื่น และอาจจะถึงกับเรียกว่าฝ่ายฮั่นอดทนขมกลืนรอเวลาที่เหมาะสมในการเปิดศึกใหญ่กับฝ่ายซงหนู สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะฝั่งซงหนูมักจะตระบัดสัตย์ นั่นคือถึงแม้ฝ่ายฮั่นจะยินยอมเรื่องการแต่งงานและจ่าย "ค่าไถ่" ในแต่ละปีจำนวนมหาศาลแล้ว พวกซงหนูก็ยังคงปล้นสะดมชายแดนฮั่นอยู่ดี อย่างไรก็ดีในรัชกาลต่อจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นฮั่นฮุ่ยตี้ ฮั่นเหวินตี้ และฮั่นจิ่งตี้ ราชสำนักฮั่นเผชิญกับปัญหาภายใน ตลอดจนยังไม่มั่นคงเพียงพอในการทำสงครามขนาดใหญ่กับอนารยชนที่มีกำลังกล้าแข็ง ดังนั้นจำต้องดำเนินนโยบายนี้ไปพลางก่อน ทว่าในสมัยฮั่นหวู่ตี้นั้น ราชสำนักฮั่นได้หยั่งรากลึกในแผ่นดินจีน และแผ่นดินก็เริ่มมั่งคั่งร่ำรวยจากการบริหารอย่างถูกต้องมาสองรัชกาลติดต่อกัน ทำให้ฮั่นหวู่ตี้ทรงปรารภว่าถึงเวลาแล้วที่จะกำจัดหอกข้างแคร่อย่างพวกซงหนูให้ราบคาบเสียที ในปี 133 ก่อนคริสตกาล ฮั่นหวู่ตี้จึงทรงโปรดให้เตรียมกองทัพสามแสนคนเพื่อทำศึก ความล้มเหลวที่หม่าอี้ ในราชสำนักฮั่นนั้นตกลงกันว่าจะเปิดฉากสงครามครั้งแรกด้วยกันล่อฉานหยี่ว์ของพวกซงหนูให้บุกรุกเข้ามาที่เมืองหม่าอี้ หลังจากนั้นก็ให้กองทัพทั้งหมดล้อมแล้วบดขยี้ให้ราบคาบ หลังจากสิ้นฉานหยี่ว์แล้ว...

มหาสงครามจีน-ซงหนู ตอนที่ 2: จุดเริ่มต้นนโยบายแต่งงาน

ย้อนก่อนที่ฮั่นเกาจู่จะยกทัพไปตีซงหนูเสียเล็กน้อย พวกซงหนูนั้นได้แข็งแกร่งขึ้นจากการรวมตัวกันขึ้นเป็นสหพันธ์ภายใต้การนำของโม่ตู๋ฉานหยี่ว์ หลังจากนั้นประมุขของชาวซงหนูผู้นี้ก็ได้ฉวยโอกาสที่ราชวงศ์ฉินล่มสลาย และแผ่นดินจีนอยู่ในการแย่งชิงระหว่างเซี่ยงอวี่และหลิวปัง เข้าตีดินแดนจีนทั้งหมดที่อยู่นอกกำแพงเมืองจีนที่ฉินสื่อหวงตี้โปรดให้สร้างขึ้น การรุกของพวกซงหนูนั้นปราศจากการต่อต้าน เพราะว่าแผ่นดินจีนยังไม่สงบ ทำให้ต้องสะสางเรื่องภายในก่อน แต่ในปี 200 ก่อนคริสตกาล แผ่นดินจีนได้รวมเป็นหนึ่งแล้วในกำมือของฮั่นเกาจู่ เพราะฉะนั้นพระองค์จึงปรารถนาที่จะตอบแทนพวกซงหนูบ้าง กองทัพใหญ่ของถูกจัดเตรียมขึ้นด้วยกำลังทหารมากกว่า 320,000 คน ซึ่งเป็นการศึกครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ยุทธการที่ไกเซี่ยที่ปราบปรามเซี่ยงอวี่เลยทีเดียว อย่างไรก็ดีกองทัพฮั่นนั้นไม่มีแม่ทัพอย่างหานสิ้นเหมือนอย่างครั้งที่ผ่านมา เพราะว่าหานสิ้นถูกปลดออกจากตำแหน่งไปแล้วเรียบร้อย ฝ่ายโม่ตู๋ฉานหยี่ว์นั้นก็ให้เตรียมกำลังเช่นกัน และแน่นอนว่าต้องการชัยชนะไม่แพ้ฝ่ายฮั่น เนื่องจากพระองค์ต้องการกำราบพวกกลุ่มอำนาจซงหนูเผ่าต่างๆ และเพื่อแสดงออกว่าพระองค์สามารถต่อสู้กับศัตรูของซงหนูได้อย่างไม่มีใครเทียบเท่า การลวงของซงหนู ฝ่ายซงหนูนั้นเป็นฝ่ายรุกก่อนด้วยการเข้าตีเมืองม่ายเฉิง...
error: Content is protected !!