ประวัติศาสตร์คาลิกูล่า จักรพรรดิโรมันจอมโหด (4): วาระสุดท้าย

คาลิกูล่า จักรพรรดิโรมันจอมโหด (4): วาระสุดท้าย

หลังจากที่คาลิกูล่าได้แสดงความโหดร้ายอย่างบ้าคลั่งในตอนที่แล้ว ชาวโรมันเริ่มจะตระหนักถึงความน่าสะพรึงกลัวของคาลิกูล่า แต่คาลิกูล่าหาได้หยุดเพียงเท่านั้นไม่

ความฟุ่มเฟือย

นักประวัติศาสตร์โรมันอย่างซูโทนิอุสให้ข้อมูลว่า คาลิกูล่าฟุ่มเฟือยสุดจะประมาณได้ เขาสร้าเรือหลายลำเพื่อตนเองจะได้เที่ยวเล่นพักผ่อน อาทิเช่นเรือขนาดยักษ์ในทะเลสาบเนมิ เพื่อเป็นพระราชวังลอยน้ำของตนเอง เรือลำนี้ประดับประดาอย่างหรูหราด้วยหินอ่อน พื้นโมเสก ส้วมที่ประดับประดาด้วยเพชรนิลจินดามากมาย และอ่างอาบน้ำอย่างหรูหราที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

เรือของคาลิกูล่าถูกงมขึ้นในปี ค.ศ.1930 แต่กลับถูกทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

เรื่องอ่างอาบน้ำนี้ ซูโทนิอุสระบุลึกลงไปว่า คาลิกูล่าได้คิดค้นวิธีอาบน้ำแบบใหม่ นั่นคือเขาจะอาบน้ำในน้ำหอมอุ่นและเย็น

ด้านการกินดื่ม คาลิกูล่าก็ฟุ่มเฟือยมากเช่นเดียวกัน เขาจะดื่มไข่มุกที่ละลายในน้ำส้มสายชูทุกวัน และกินอาหารอย่าง “ขนมปังทองคำ” และ “เนื้อสัตว์ทองคำ” ร่วมกับแขกของเขา

นอกจากนี้คาลิกูล่ายังสร้างพระราชวัง วิลล่า โรงละคร มากมายเพื่อความสุขของตนเอง เขาได้สั่งลานแข่งรถศึกขนาดยักษ์และสั่งให้นำเสาหินโอเบลิสค์ (Obelisk) มาจากอียิปต์เพื่อตั้งไว้กลางลานดังกล่าว ปัจจุบันโอเบลิสค์นี้ยังคงอยู่ในกรุงโรม

โอเบลิสค์ที่คาลิกูล่านำมา ปัจจุบันยังอยู่ในกรุงโรม Cr: www.sxc.hu

เรื่องน่าตลกที่สุดก็คือ ซูโทนิอุสเล่าว่าคาลิกูล่าสั่งให้แรงงานเปลี่ยนภูเขาให้เป็นที่ราบ และเป็นที่ราบให้เป็นภูเขา เขาจะให้กำหนดเวลาในการทำสิ่งเหล่านี้ ถ้าโครงการไม่เสร็จตามที่กำหนด เขาจะลงโทษทุกคนด้วยการประหารชีวิตทั้งหมด

ในเวลาเพียงไม่ถึงปี คาลิกูล่าก็ผลาญเงินทั้งหมดของจักรวรรดิที่ทิเบียริอุสเก็บรักษาไว้จนหมดสิ้น แต่คาลิกูล่าต้องการเงินมาเพื่อสร้างโน่นสร้างนี่อีกเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง ดังนั้นเขาจึงต้องทำทุกวิธีทางเพื่อหาเงินมาให้ได้

รีดเงินจากประชาชน

ซูโทนิอุสว่าปัญหาทางการเงินของคาลิกูล่าเริ่มต้นในปี ค.ศ.38 ส่วนคัสเซียส ดิโอว่าปี ค.ศ.39

เมื่อท้องพระคลังหมดสิ้นเงินทองแล้ว คาลิกูล่าจึงต้องหาวิธีหาเงินมาใช้ วิธีที่เขาใช้คือขูดรีดจากประชาชนชาวโรมันนั่นเอง

เริ่มแรกคาลิกูล่าใส่ความพวกเศรษฐีหรือสมาชิกสภาเซเนตที่มีทรัพย์สินเงินทองว่าทำผิดกฎหมายต่างๆ และหาเหตุเนรเทศพวกเขาไปยังเมืองที่อยู่ห่างไกล คาลิกูล่าจะได้ยึดทรัพย์สินของพวกเขามาเป็นของตนเอง หรือในบางทีก็บังคับให้พวกเขาจ่ายค่าปรับในจำนวนที่มหาศาล เพื่อแลกกับการที่จะไม่ต้องรับโทษ

ต่อมาคาลิกูล่าได้ประกาศให้มีการประมูลสิ่งของที่เหลือจากการแสดงในโรงละคร เขาปั่นราคาสิ่งของเหล่านั้นจนสูงลิบ หลังจากนั้นจึงบังคับให้ผู้ที่เข้าร่วมการประมูลจ่ายเงินในราคาที่เขาปั่นขึ้นไป ทำให้พวกที่เขาร่วมประมูลแทบสิ้นเนื้อประดาตัว เพราะว่าจะต้องใช้เงินซื้อของเหล่านั้นตามคำสั่งของคาลิกูล่า ถ้าไม่ซื้อก็เท่ากับตาย

คาลิกูล่าใช้วิธีเดียวกันกับของที่เขาไม่ใช้แล้วเช่นเฟอร์นิเจอร์ เขาบังคับขายสิ่งของเหล่านี้ให้กับผู้มาซื้อต่อในราคาที่สูงลิบ ทำให้ชาวโรมันที่ถูกบังคับซื้อของจากคาลิกูล่าหมดตัว

ไม่เพียงเท่านั้น คาลิกูล่าได้ทำการเปิดสถานบริการด้วยตนเองเพื่อหากำไร นอกจากนี้เขายังใช้กลโกงทุกครั้งเพื่อเล่นพนันในคาสิโน เรียกได้ว่าเขาทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เงินมา

เมื่อหมดสิ้นวิธีแล้ว คาลิกูล่าจึงขึ้นภาษี เขาขึ้นภาษีสินค้าบริการทุกชนิด แม้กระทั่งการขึ้นศาล การแต่งงาน และการขายบริการอีกด้วย ชาวโรมันต่างเดือดร้อนไปทั่วระหองระแหง

โตเลมีแห่งมัลริแทนเนีย เขาถูกสังหารโดยคาลิกูล่า

ไปทัพ

ความโหดร้ายและความโลภของคาลิกูล่ายังไม่จบแต่เพียงเท่านั้น เขาเรียกให้กษัตริย์โตเลมีแห่งมัลริแทนเนีย (โมร็อกโกและแอลจีเรียในปัจจุบัน) ผู้เป็นประเทศราชของโรมมาเข้าพบ เมื่อโตเลมีมาถึง คาลิกูล่าได้สั่งให้ประหารชีวิตเขาทันที (บ้างว่าคาลิกูล่าอิจฉาในความมั่งมีของโตเลมี โดยเฉพาะอิจฉาที่ปวงชนโรมันฮือฮาในผ้าคลุมสีม่วงของเขา) หลังจากนั้นคาลิกูล่าก็พยายามผนวกมัลริแทนเนียเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมัน

การกระทำของคาลิกูล่าสร้างความโกรธแค้นต่อชาวมัลริแทนเนียมาก พวกเขาจึงลุกขึ้นสู้ แต่คาลิกูล่าก็ส่งกำลังไปปราบปรามได้สำเร็จ

หลังจากนั้นคาลิกูล่าพยายามจะรุกรานบริตาเนีย (อังกฤษในปัจจุบัน) และปราบปรามพวกชนเผ่าเยอรมันนิก แต่ล้มเลิกแผนการเสียก่อน เพราะไม่เห็นหนทางว่าจะประสบความสำเร็จ

ถึงกระนั้นคาลิกูล่าต้องการประกาศให้ผู้คนได้ทราบถึงชัยชนะของตนเอง เขาให้ชาวกอลที่มีรูปร่างสูงใหญ่สวมใส่เครื่องแต่งกายของชาวเผ่าเยอรมันนิก ประดุจว่าพวกเขาเป็นเชลยเยอรมันนิกที่จับมาได้ หลังจากนั้นเขานำคนเหล่านี้ไปแห่ในกรุงโรม เพื่อหลอกชาวโรมันว่าตนเองได้รับชัยชนะและจับพวกเชลยเหล่านี้มาได้

ระหว่างที่อยู่ในกองทัพ คาลิกูล่าต้องการจะหาเหตุสังหารพวกทหารลีเจียนบางส่วนที่เขาจำได้ว่า เคยจับกุมบิดาเขาและตัวเขาในวัยเด็ก (น่าจะทำตามคำสั่งของทิเบียริอุส) แต่เพื่อนของเขาห้ามเขาเอาไว้ เพราะเกรงว่าเรื่องจะบานปลาย

วาระสุดท้าย

คาลิกูล่า

หลังจากนั้นสุขภาพของคาลิกูล่าเริ่มแย่ลง ศีรษะของเขาเริ่มล้าน คาลิกูล่าไม่ชอบที่ศีรษะของตนเองล้าน ทั้งๆ ที่ส่วนอื่นของร่างกายของเขามีขนมาก เขามองว่าทำให้ตัวเขาเหมือนกับแกะ คาลิกูล่าจึงประกาศว่าถ้าใครพูดถึงแกะไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ จะต้องได้รับโทษ

ช่วงปีสุดท้ายของชีวิตเขา คาลิกูล่ามีอาการนอนไม่หลับ เขานอนได้อย่างมากเพียงสามชั่วโมงเท่านั้น เขาส่วนเวลาส่วนใหญ่ในเวลากลางคืนเดินไปเดินมา หรือนั่งอยู่บนเตียงด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวอยู่ตลอดคืน

เมื่อสุขภาพแย่ลง เขาก็ยิ่งทำตัวแปลกมากขึ้น บางวันเขาแต่งตัวเข้าสภาด้วยชุดทหารเต็มยศ เช่นใส่เกราะของอเล็กซานเดอร์มหาราชที่ขโมยมา แต่บางวันก็แต่งตัวเป็นผู้หญิงเต็มคราบ มีอยู่วันหนึ่ง เขาถึงกับแต่งตัวเป็นเทพีวีนัส

คาลิกูล่ารักม้าของเขามาก เขาจึงมอบทาสให้ม้าของเขาใช้สอย และยังให้ทรัพย์สินมากมายให้กับมันราวกับว่ามันเป็นมนุษย์ คาลิกูล่าเตรียมการจะแต่งตั้งให้ม้าของเขาดำรงตำแหน่งกงสุล อันเป็นตำแหน่งทางการเมืองระดับสูงในจักรวรรดิโรมัน

นอกจากนี้ความแปรปรวนทางอารมณ์ของคาลิกูล่ายังทำให้เขาโหดร้ายมากขึ้น

เขารู้ว่าทั้งสภาเซเนตและประชาชนชาวโรมันต่างเกลียดชังตน เขาจึงวางแผนว่าจะสังหารพวกสภาเซเนตเสียด้วยการวางยาพิษหมู่ หลังจากนั้นจะย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่อเล็กซานเดรีย อดีตเมืองหลวงอันยิ่งใหญ่ของคลีโอพัตรา

ฝ่ายสมาชิกสภาเซเนตและประชาชนโรมันต่างสุดจะทนกับคาลิกูล่าแล้วเช่นกัน แผนการสังหารคาลิกูล่าจึงเกิดขึ้นมาหลายแผนเพื่อจบสิ้นความบ้าคลั่งนี้เสียที

ซูโทนิอุสว่าในเวลานั้นมีลางร้ายหลายอย่างเกิดในกรุงโรม อาทิเช่นอนุสาวรีย์จูปิเตอร์ที่คาลิกูล่าสั่งให้แยกส่วนเพื่อนำมากรุงโรมกลับเปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น ทำให้พวกคนงานตื่นตระหนกกันยกใหญ่ ต่อมาฟ้าก็ผ่าอย่างแรงที่สถานที่ราชการในเมือง Capua ในวัน Ides of March ซึ่งเป็นวันที่ซีซาร์ถูกลอบสังหาร

นอกจากนี้ยังมีเรื่องแปลกๆ อีกหลายอย่าง ทำให้คาลิกูล่ากังวลมาก แต่อะไรแปลกๆ ก็ยังไม่หยุดอยู่ดี

ในวันที่ 24 มกราคม ค.ศ.41 วาระสุดท้ายของคาลิกูล่าก็มาถึง

คัสเชียส แชร์เรีย และทหารอีกหลายนายที่เป็นองครักษ์ของคาลิกูล่าได้ฉวยโอกาสที่คาลิกูล่ายืนดูการแสดงลอบสังหารเขา คัสเชียสแทงคาลิกูล่าเข้าที่คอ ตามมาด้วยการรุมแทงของพวกมือสังหารที่อยู่รอบตัว

ซูโทนิอุสเล่าว่า คาลิกูล่า เดิมมีชื่อว่า ไกอุส จูเลียส ซีซาร์ เหมือนกับซีซาร์ผู้ยิ่งใหญ่ทุกประการ และการตายของคาลิกูล่าก็เหมือนกับซีซาร์ด้วย นั่นก็คือ คาลิกูล่าถูกแทงจำนวน 30 แผล เช่นเดียวกับซีซาร์ เหตุการณ์ยังเกิดในวัน Ides of March เหมือนกัน มือสังหารก็ชื่อคัสเชียสเหมือนกัน

หากแต่ว่าในพงศาวดารเล่มอื่นไม่ได้ระบุไว้เช่นนี้ ซูโทนิอุสอาจจะนำเรื่องที่ลือมั่วๆกันในยุคนั้นมาใส่เองก็เป็นได้

คาลิกูล่าเสียชีวิตในปี ค.ศ.41 ด้วยอายุเพียง 28 ปี เขาครองราชย์ได้เพียง 3 ปี 10 เดือน

ผลที่ตามมา

พวกมือสังหารและสภาเซเนตพยายามจะเปลี่ยนการปกครองให้กลับเป็นแบบสาธารณรัฐตามเดิม แต่พวกเขากลับไม่ได้รับการสนับสนุนของประชาชนและกองทัพ พวกมือสังหารจึงพยายามกวาดล้างพวกเชื้อพระวงศ์ที่ยังอยู่ พวกเขาได้สังหารซีซอนเนีย ภรรยาของคาลิกูล่าและบุตรสาวของเธอ และพยายามจะสังหารคลาวดิอุส อาของคาลิกูล่าด้วย แต่โชคเป็นของคลาวดิอุส ทหารที่จงรักภักดีได้นำตัวเขาไปไว้ยังที่ปลอดภัย

พวกทหารองครักษ์เปรทอเรียน (Praetorian Guard) ได้สถาปนาคลาวดิอุสเป็นจักรพรรดิในเวลาต่อมา คลาวดิอุสได้ทำการกวาดล้างและสังหารคัสเชียสและพวกที่มีส่วนในการสังหารคาลิกูล่าจนหมดสิ้น

ชีวิตของคาลิกูล่าจึงจบสิ้นไปอย่างถาวร แต่คาลิกูล่าจะไม่ใช่จักรพรรดิที่บ้า คลั่ง และโหด คนสุดท้ายของจักรวรรดิโรมัน อีกไม่นานปวงชนโรมันจะได้พบกับ เนโร และคอมโมดัส อีกในไม่นาน

Sources:

  • Suetonius, The Twelve Caesars
  • Cassius Dio, Roman History
  • Tacitus, Annals

บทความการศึกษา

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!