เทคโนโลยีซอฟต์แวร์ใช้แอนตี้ไวรัส (antivirus) โปรแกรมไหนดีสำหรับ Mac ในปี 2020?

ใช้แอนตี้ไวรัส (antivirus) โปรแกรมไหนดีสำหรับ Mac ในปี 2020?

เคยมีคำกล่าวหรือความเชื่อว่า Mac ไม่มีทางติด malware และไวรัสต่างๆ หรือถ้าติดก็โอกาสน้อยมาก ต่างจากผู้ใช้งานระบบปฏิบัติการอย่าง Windows ที่ติดเอาติดเอา ดังนั้นแอนตี้ไวรัส (Antivirus) จึงไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้งาน Mac เลยแม้แต่น้อย

ผมบอกได้เลยว่าไม่จริง!

เรื่องมีอยู่ว่า ผมเอา Macbook ของน้องสาวไปท่องเว็บไซต์ต่างๆ และปรากฏว่าถูก redirect ไปหน้าแปลกๆ แทบทุกครั้ง ผมเลยคิดว่าน่าจะโดน malware เข้าแล้ว ผมเลยลองเอาเครื่องของน้องสาวไป scan ดูด้วยโปรแกรมแอนตี้ไวรัส

สุดท้ายพบว่ามีทั้ง malware และ adware ฝังอยู่มากถึง 23 ตัวด้วยกัน! ทำให้ต้องล้างเครื่องเป็นการใหญ่โตเลยทีเดียว

นอกจากนี้ผู้ให้บริการอย่าง malwarebytes รายงานว่าในปี ค.ศ.2019 จำนวน malware ที่พุ่งเป้าไปที่ Mac เพิ่มขึ้นถึง 400% เมื่อเทียบกับปีก่อน ดังนั้นผมการันตีว่าถ้าคุณใช้ Mac คุณต้องติดตั้งโปรแกรมแอนตี้ไวรัสเอาไว้ด้วย ไม่งั้นคุณจะเป็นเหยื่อของกองทัพ malware สารพัดรูปแบบอย่างแน่นอน

เราไปดูกันดีกว่าจะใช้โปรแกรม antivirus ตัวไหนดี?

Antovirus

(EDIT: 20/6/2020 แก้ไขข้อมูลราคาของ Kaspersky จาก US Store เป็น Global Store ในส่วนนี้ต้องขออภัยในความผิดพลาดด้วยครับ)

สิ่งที่คุณควรมองหาในโปรแกรม Antivirus

คุณควรมองหาโปรแกรมแอนตี้ไวรัส ที่ปกป้องคุณได้อย่างเบ็ดเสร็จ สิ่งเหล่านี้คือฟังก์ชันที่โปรแกรมที่คุณเลือกควรจะมี ได้แก่

  • Malware Scan (ค้นหา malware และ adware ในเครื่องของคุณอย่างละเอียดทั้งแบบ manual และ automatic)
  • Real-time Protection (ปกป้องคุณจาก malware แบบ real-time)
  • Web Shield (ปกป้องคุณจากการเข้าเว็บไซต์ที่อาจจะแพร่กระจาย malware สู่เครื่องของคุณ)
  • Firewall (สกัดกั้นไม่ให้ malware เข้าถึงเครื่องของคุณในทุกรูปแบบ)
  • Phishing Protection (ป้องกันไม่ให้ hacker เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของคุณ และป้องกันคุณจาก e-mail ที่จะหลอกให้คุณกรอกข้อมูลส่วนตัว)
  • Ransomware Protection (ป้องกันไม่ให้ผู้ไม่หวังดีมาล็อคข้อมูลและเรียกค่าไถ่จากคอมพิวเตอร์ของคุณ)

นอกจากนี้ถ้าโปรแกรมแอนตี้ไวรัสให้สิ่งเหล่านี้ด้วยก็ถือว่าเป็นเรื่องดี

  • VPN (ปิดบังการเคลื่อนไหวของคุณในโลกออนไลน์)
  • Optimization (ทำให้คอมพิวเตอร์ของคุณเร็วขึ้น)
  • Privacy Protection (ปิด tracking ทุกรูปแบบ จะไม่มีใครสามารถเห็นได้ว่าคุณใช้เว็บไซต์ทำอะไรบ้าง)

แอนตี้ไวรัส (Antivirus) แบบฟรี

ในปัจจุบันมีหลายโปรแกรมแอนตี้ไวรัสสำหรับ Mac ให้ใช้งานแบบฟรี หรือแม้กระทั่งฟรีถาวร จริงอยู่ว่าทุกคนชอบของฟรี (ผมก็ชอบครับ) แต่คุณต้องทราบไว้ด้วยว่าฟีเจอร์ต่างๆ ของแบบฟรีจะจำกัดมากกว่าแบบเต็มที่ต้องเสียเงินมาก

ดังนั้นถ้าคุณมีข้อมูลที่ sensitive จริงๆ คุณควรจะเลือกอัพเกรดเป็นแบบพรีเมียม หรือเลือกแอนตี้ไวรัสที่ต้องจ่ายเงินจะดีกว่าครับ

เรามาดูกันดีกว่า แอนตี้ไวรัสแบบฟรีที่น่าใช้มีอะไรบ้าง?

1. Sophos Home Free

Sophos Home Free เป็นโปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่เป็นแบบฟรีถาวรสำหรับ Mac โดยตัวฟรีจะมาพร้อมกับฟีเจอร์ต่อไปนี้

  • Antivirus Real-Time Protection – ปกป้องคุณจาก malware แบบ Real-Time พร้อมเครื่องมือสำหรับ scan หา malware ที่อาจจะฝังตัวอยู่ในเครื่องของคุณอยู่แล้ว
  • Web Protection – ป้องกันคุณไม่ให้เข้าถึงเว็บไซต์ที่ถูก blacklist
  • Parental Filtering – ป้องกันไม่ให้บุตรหลานของคุณเข้าถึงเว็บไซต์ที่ไม่ควรเข้า
Sophos Home Free

ด้านบนเป็นฟีเจอร์ที่ฟรีถาวร แต่ถ้าคุณต้องการการป้องกัน Ransomware, Privacy Protection ฯลฯ คุณจะต้องสมัครแบบพรีเมียมในราคาปีละ 1,544 บาท แต่ถ้าซื้อ 2-3 ปีขึ้นไปจะได้ราคาที่ต่ำลงครับ

โดยรวมแล้ว Sophos Home Free เป็นโปรแกรมที่น่าสนใจถ้าคุณใช้ Mac สำหรับการใช้งานทั่วไป และไม่ได้มีข้อมูลที่สำคัญอะไรมากนัก เพราะฟีเจอร์แบบฟรีจะคุ้มครองคุณจาก malware ส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากนักได้อย่างสบายๆ

แต่ถ้าคุณมีข้อมูลที่สำคัญ antivirus ตัวอื่นอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะ Ransomware Protection ของ Sophos Home Free มีให้ใช้งานเพียง 30 วันเท่านั้นครับ และการสแกนหา malware ของ Sophos Home ช้าถึงช้ามากครับ

2. Avast Security for Mac

Avast Security for Mac เป็นอีกโปรแกรมหนึ่งที่ใช้คุณใช้ฟรีถาวร โดยฟีเจอร์ที่มาพร้อมกับโปรแกรมแบบฟรีคือ

  • Anti-Malware Security – ป้องกัน malware แบบเบ็ดเสร็จ คุณสามารถ scan และได้รับการปกป้องแบบ real-time
  • Web & Email Shields – ป้องกันคุณจากการเข้าถึงเว็บไซต์และอีเมล์ที่เป็นอันตราย
  • Wi-fi Security Scan – สแกน Wi-fi ของคุณว่ามีช่องโหว่หรือ malware ซ่อนอยู่หรือไม่
Avast Security

ด้านบนเป็นฟังก์ชันที่ฟรีถาวร แต่ถ้าคุณต้องการ ransomware protection หรือการเตือนว่า Wi-fi ของคุณมีคนเข้ามาใช้ คุณจะต้องเสียเงินค่า Premium ในราคา $70 (2,100 บาทต่อปี)

โดยรวมแล้ว Avast Security เป็นแอนตี้ไวรัสที่มีฟีเจอร์ที่เพียงพอสำหรับผู้ใช้งานฟรีทั่วไป เพราะการ scan สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว และศักยภาพการค้นหา malware ถือว่าเป็นอันดับต้นๆ ของอุตสาหกรรม (อ้างอิงจาก PCMag)

อย่างไรก็ดีถ้าคุณต้องการจ่ายแบบพรีเมียม ผมมองว่าคุณไปซื้อของเจ้าอื่นดีกว่า เนื่องจากราคาของ Avast ค่อนข้างสูง และฟีเจอร์ที่ได้เพิ่มมีแค่ 2 อย่างเท่านั้นซึ่งถือว่าน้อยมากๆ ครับ

3. AVG Antivirus for Mac

AVG Antivirus for Mac เป็นอีกโปรแกรมแอนตี้ไวรัสหนึ่งที่ให้คุณใช้งานฟรีถาวร โดยจะพร้อมกับฟีเจอร์ต่อไปนี้

  • Real-Time Malware Protection – ปกป้องคุณจาก malware แบบ real-time
  • Web Shield – สกัดเว็บไซต์ อีเมล์ ลิงค์ดาวน์โหลดที่อันตราย
  • Malware Scan – สแกนคอมพิวเตอร์ของคุณ
AVG

AntiVirus Free ของ AVG ไม่ได้มาพร้อมกับ ransomware protection หรือการจัดการกับเว็บไซต์ปลอมต่างๆ ทำให้คุณต้องสมัครแบบพรีเมียมเพื่อได้ฟีเจอร์เหล่านี้มาครับ ซึ่งราคาอยู่ที่ $40 (1,200 บาท) ในปีแรก หรือ $70 (2,100 บาท) ในปีต่อไป

เดิมที AVG มีปัญหามากกับการตรวจสอบ Phishing แต่ในปัจจุบันคุณภาพการตรวจสอบถือว่าดีขึ้น ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับแบบฟรี แต่ถ้าคุณต้องการจะซื้อแบบพรีเมียม ฟีเจอร์ของ AVG ถือว่าน้อยเกินไปครับ

4. Avira Antivirus for Mac

Avira Antivirus for Mac เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งของแอนตี้ไวรัสแบบฟรีที่คุณสามารถดาวน์โหลดมาใช้ได้ ฟีเจอร์ของแบบฟรีประกอบด้วย

  • Real-time Scanner and Protection – สแกนและจัดการกับ malware อย่างอัตโนมัติ
  • Browser Tracking Blocker – ป้องกันไม่ให้ใครสามารถดูได้ว่าคุณใช้ Browser เข้าเว็บไซต์อะไรบ้าง
  • Safe Browsing – จัดการไม่ให้คุณเข้าถึงเว็บไซต์ที่มี malware ได้
  • Ransomware Protection – ป้องกัน Ransomware ต่างๆ
Avira

โดยรวมแล้วถือว่าตัวโปรแกรมฟรีครอบคลุมเบ็ดเสร็จเกือบหมดทุกอย่างเลยทีเดียว การ scan ก็รวดเร็วว่องไว ดังนั้นเหมาะกับผู้ใช้งานทั่วไปอย่างยิ่ง แต่ถ้าคุณต้องการฟีเจอร์ที่เพิ่มขึ้นอย่างเช่น Mac cleaner ซึ่งทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานเร็วขึ้น หรือ VPN และ Password Management คุณจะต้องสมัคร Avira Prime ในราคาปีละ $70 (2,100 บาท) ครับ

อย่างไรก็ดีสิ่งที่คุณต้องทราบหรือ ถ้าคุณอยากให้ Avira ปกป้อง Browser ของคุณ คุณจะต้องลง Extension ชื่อ Avira Browser Safety ซึ่งยังไม่มีสำหรับ Safari แต่อย่างใด และมีแค่ Firefox, Opera หรือ Chrome เท่านั้นครับ

สรุปแอนตี้ไวรัส (Antivirus) แบบฟรีใช้ตัวไหนดี?

จากแอนตี้ไวรัสฟรีถาวร 4 ตัวที่ผมว่าไป ผมมองว่า Avast เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจที่สุด เพราะคุณภาพและฟีเจอร์ที่ให้มา โดยเฉพาะ ศักยภาพการตรวจพบ malware เป็นอันดับต้นๆครับ

อย่างไรก้ดีถ้าคุณต้องการแอนตี้ไวรัสแบบพรีเมียมสำหรับ Mac ของคุณ ผมมองว่าตัวเลือกทางด้านล่างดีกว่าทั้ง 4 ตัวด้านบนครับ

แอนตี้ไวรัส (Antivirus) แบบพรีเมียม

โปรแกรมแอนตี้ไวรัสแบบพรีเมียมแน่นอนว่าคุณจะต้องจ่ายเงินเพื่อใช้งาน แต่โดยทั่วไปแล้วจะมีประสิทธิภาพมากกว่า ฟีเจอร์ต่างๆ จะครอบคลุมการใช้งานมากกว่า ทำให้คอมพิวเตอร์ของคุณปลอดภัยมากขึ้นครับ

1. Kaspersky

โปรแกรม Antivirus ของ Kaspersky ความสามารถในการตรวจจับ malware ต่างๆ ของตัวโปรแกรมอยู่ในระดับ 100% หรือใกล้เคียง (อ้างอิงจากบริษัทผู้ตรวจสอบอย่าง AV-Test) ทำให้มั่นใจได้ว่าคอมพิวเตอร์ของคุณจะปราศจากภัยต่างๆ ที่มาคุกคามครับ

ฟีเจอร์ที่ Kaspersky ให้มาจัดว่ามีครบถ้วนเสร็จสรรพ หรือเรียกได้ว่ามีทุกอย่างที่แอนตี้ไวรัสที่ดีควรจะมี และยังเพิ่มการป้องกัน Webcam การจัดการ content ให้บุตรหลาน และการป้องกันข้อมูลรั่วไหลเวลาที่คุณซื้อของออนไลน์ (Safe Money) ด้วยครับ นอกจากนี้เวลาที่โปรแกรมทำงาน ยังไม่ทำให้คอมพิวเตอร์ของคุณช้าลงแต่อย่างใด การสแกนเองก็ถือว่ารวดเร็วกว่าเจ้าอื่นๆ ครับ

Kaspersky Security Cloud

ปัจจุบันถ้าคุณใช้ Mac นั้น Kaspersky จะมี 3 แพลนได้แก่ (ราคานี้เป็นราคาบน Global Store)

  • Kaspersky Internet Security for Mac ($59.95 หรือประมาณ 1,800 บาทต่อปี ใช้ได้ 1 เครื่อง)
  • Kaspersky Internet Security ($59.99 หรือประมาณ 1,800 บาทต่อปี ใช้ได้ 1 เครื่อง)
  • Kaspersky Total Security ($79.99 หรือประมาณ 2,400 บาทต่อปี ใช้ได้ 1 เครื่อง)
  • Kaspersky Security Cloud ($89.99 หรือประมาณ 2,700 บาทต่อปี ใช้ได้ 3 เครื่อง)

ส่วนในเว็บ Kaspersky.co.th จะขายในราคา

  • Kaspersky Internet Security for Mac (650 บาทต่อปี)
  • Kaspersky Internet Security (930 บาทต่อปี)
  • Kaspersky Total Security (1,090 บาทต่อปี)

ถ้าเปรียบกันแล้วราคาจะถูกกว่า Global Store แต่ว่าจะไม่มี Security Cloud ให้ซื้อมาใช้ครับ

ข้อควรทราบ: ถ้าคุณเรียนหรือทำงานอยู่ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา การซื้อจาก US Store จะถูกกว่า Global Store ครับ

แตกต่างกันอย่างไร?

Kaspersky Internet Security และ Total Security ต่างกันที่ตัว Total Security จะมี Password Management, Parental Controls และ Back-Up ของไฟล์ต่างๆ ครับ

ส่วน Internet Security กับ Internet Security for Mac จะต่างกันที่ Internet Security ใช้กับระบบปฏิบัติการอะไรก็ได้ไม่ว่าจะเป็น Mac, PC หรือ Mobile และปรับแต่งได้ด้วยว่าต้องการกี่เครื่อง แต่ for Mac ต้องใช้กับ Mac เท่านั้น และปรับแต่งไม่ได้ว่าต้องการกี่เครื่อง ดังนั้นถ้าจะติดตั้งมากกว่า 1 เครื่อง จะต้องซื้อ license แยกไปครับ

ดังนั้นสรุปง่ายๆ ถ้าคุณต้องการแค่ Mac เครื่องเดียว คุณควรจะซื้อแบบ for Mac เพราะใน Kaspersky.co.th ขายถูกกว่าแบบ Internet Security ทั่วไปถึง 300 บาท แต่ถ้าต้องการมากกว่า 1 เครื่องก็ควรซื้อแบบ Internet Security ครับ

ส่วน Kaspersky Security Cloud เป็นบริการใหม่ที่เพิ่งจะนำเสนอโดย Kaspersky อย่างสดๆ ร้อนๆ โดยจะรวมบริการทุกอย่างของ Kaspersky เข้ามาในแพลตฟอร์มเดียว ตั้งแต่ Antivirus, Mobile Security, Password Management, VPN, Parental Controls และยังมีตัวช่วยเพิ่ม performance ของอุปกรณ์แต่ละชนิดด้วยครับ

อย่างไรก็ดีตัว Security Cloud จะขาดความการปรับแต่งเรื่อง Parental Controls อย่างที่ Kaspersky Total Security มี (ถ้าอยากได้ต้องเสียตังเป็นแบบ family) แต่จะคุณจะได้การคุ้มครองด้าน cybersecurity กับทุกอุปกรณ์ที่คุณเป็นเจ้าของ และมีความยืดหยุ่นมากกว่าครับ นอกจากนี้ถ้ามีเทคโนโลยีใหม่จะนำมาเพิ่มในแพลตฟอร์มนี้ก่อนอีกด้วย

สำหรับรายละเอียดเรื่องฟีเจอร์ต่างๆ สามารถอ่านได้ที่นี่

ผมมองว่าถ้าคุณไม่มีบุตรหลานก็จะไม่ได้ใช้ประโยชน์เรื่อง Parental controls การสมัครตัว Security Cloud จะคุ้มค่ากว่าแบบ Total Security เพราะใช้ได้ถึง 3 เครื่อง ในราคาที่เพิ่มไปเพียง $10 หรือ 300 บาทต่อปี

อย่างไรก็ดีข้อเสียอย่างเดียวของ Kaspersky คือ VPN ที่มีให้ใช้จำกัดการใช้งานแค่ 200 MB ต่อวันเท่านั้นครับ ถ้าใช้เกินจะต้องเสียเงินเพิ่ม ซึ่งบางผู้ให้บริการจะไม่จำกัดตรงนี้เลย

2. Norton 360

Norton 360 เป็นผู้ให้บริการแอนตี้ไวรัสระดับพรีเมียมที่อยู่ในวงการมานานมากแล้ว และเป็นผู้ให้บริการอันดับต้นๆ เลยก็ว่าได้

ฟีเจอร์ของ Norton 360 เรียกได้ว่าครบถ้วนสมบูรณ์ ตั้งแต่การจัดการ malware, ransomware, phishing ฯลฯ คะแนนการตรวจสอบอยู่ในระดับ perfect เช่นเดียวกับ Kaspersky ครับ นอกจากนี้ยังมี Backup, VPN, การป้องกัน Webcam และอื่นๆ อีกมากมาย ด้วยความที่ฟีเจอร์เยอะมากจริงๆ ผมแนะนำให้ดูรายละเอียดตามนี้ครับ

Norton 360

ในเรื่อง Performance ก็ถือว่า perfect นั่นคือสแกนรวดเร็วและไม่ทำให้คอมพิวเตอร์ช้าลงครับ

แพลนของ Norton 360 ประกอบด้วย 4 ชนิดได้แก่ (ราคาอ้างอิงจาก US Store ครับ)

  • Norton 360 Standard ($39.99 หรือ 1,200 บาทต่อปี)
  • Norton 360 Deluxe ($49.99 หรือ 1,500 บาทต่อปี)
  • Norton 360 with LifeLock Select ($99.99 หรือ 3,000 บาทต่อปี)
  • Norton 360 With Ultimate Plus ($299.99 หรือ 9,000 บาทต่อปี)

ราคานี้สำหรับปีแรกเท่านั้นครับ ถ้าปีต่อไป คุณจะต้องนำราคานี้ไปคูณสองครับ เพราะปีแรกทาง Norton ลดราคาให้ 50%

แต่ละแพลนจะแตกต่างกันตามฟีเจอร์ และจำนวนคนที่ใช้งานได้ ทั้งนี้ฟีเจอร์ระดับสูงผมมองว่าไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้งานธรรมดาทั่วไป โดยฟีเจอร์อย่าง Unlimited VPN, Backup, Firewall, Password Manager และ Malware Protection ทั้งหลายมีพร้อมอยู่แล้วตั้งแต่แพลนระดับ Standard ครับ

อย่างไรก็ดีถ้าคุณสนใจ Norton 360 ผมมองว่าถ้าคุณรวมหาเพื่อนมาได้สักคนนึงแล้วสมัคร Norton 360 Deluxe ไปเลยจะถูกกว่า เพราะแบบ Standard ใช้ได้แค่เครื่องเดียว แต่แบบ Deluxe ใช้ได้ 5 เครื่อง ถ้าหารกันแล้วราคาต่อคนย่อมจะถูกกว่าครับ นอกจากนี้เพื่อนของคุณยังไม่จำเป็นต้องใช้ Mac ด้วย ใช้ PC ก็สามารถหารได้เช่นกันครับ

บทความการศึกษา

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!