ในตอนที่แล้ว บาเบอร์ยึดเมืองซามาร์คันด์จากมูฮัมหมัด เชบานีกลับมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยทหารเพียงสองร้อยกว่านายเท่านั้น
หากแต่ว่ามีคำกล่าวว่า เมื่อได้มาง่าย ก็จะเสียไปง่าย
เรามาดูกันว่า อะไรจะเกิดกับบาเบอร์ต่อไป
แพ้ยับเพราะเชื่อโหราศาสตร์
อีกห้าหกเดือนต่อมา เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ มูฮัมหมัด เชบานีแห่งอุซเบคก็กลับมา กองทัพของเขามีประมาณ 6,000 นาย เชบานีตั้งใจว่าจะตีซามาร์คันด์กลับคืนให้จงได้
บาเบอร์สั่งให้ทหารเตรียมการต่อสู้ ตัวเขาได้นำกองทัพยกไปสกัดทัพอุซเบคที่ซารีปุล
กองทัพทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างหนักเป็นเวลาสี่ห้าวัน เชบานีพยายามสั่งให้ทหารเข้าปล้นค่ายของบาเบอร์ตอนกลางคืน แต่ทหารบาเบอร์ตั้งยันเอาไว้ได้ ทั้งสองฝ่ายพลีชีพลงกลางสมรภูมิจำนวนมาก
ขณะนั้นบาเบอร์ได้ทราบว่ากองหนุนสองกอง กองละ 1,000-2,000 นาย กำลังยกมาสนับสนุนเขา กองทัพทั้งสองจะยกเข้าตีด้านหลังของกองทัพของเชบานี และกองทัพอุซเบคน่าจะแตกกระเจิงได้อย่างแน่นอน
บาเบอร์กลับทำสิ่งที่ไม่มีใครคิด เขาต้องการให้กองทัพที่มีอยู่ในเวลานั้นโจมตีศัตรูก่อนที่กองทัพสนับสนุนจะมาถึง
สาเหตุคืออะไร ไปอ่านที่บาเบอร์เขียนเองเลยละกันครับ
สาเหตุที่ฉันต้องการจะต่อสู้ก็เพราะในวันนั้น ดวงดาวทั้งแปดอยู่ระหว่างกองทัพทั้งสอง ถ้าฉันพลาดวันนั้นไป มันจะอยู่ด้านหลังของกองทัพศัตรูเป็นเวลา 13-14 วัน
ดวงดาวทั้งแปดนี้ในภาษาเปอร์เซียเรียกว่า Sakkiz Yildoz ชาวเปอร์เซียมีความเชื่อว่า แม่ทัพคนใดก็ตามไม่ควรต่อสู้เมื่อดวงดาวทั้งแปดอยู่ด้านตรงข้ามของฝ่ายตน ดังนั้นบาเบอร์เห็นว่าถ้าไม่เข้าตีในวันนั้น เจ้าดวงดาวทั้ง 8 จะไปอยู่ฝั่งศัตรู 13-14 วัน
สรุปง่ายๆ บาเบอร์คิดว่าวันนี้ฤกษ์ดี แต่ถ้ารอต่อไปฤกษ์จะไม่ดี เพราะฉะนั้นเข้าตีวันนี้เลยดีกว่า
มาดูกันว่าเชื่อฤกษ์แล้วจะเป็นอย่างไร
กองทัพทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกันที่แม่น้ำโคหิก การต่อสู้เป็นไปด้วยความทุลักทุเล ทั้งสองฝ่ายผลัดกันรุกผลัดกันรับ และพยายามจะโอบล้อมอีกฝ่ายหนึ่ง
ระหว่างการต่อสู้ นายทหารของเชบานีได้บอกเชบานีว่า กองทัพอุซเบคน่าจะพ่ายแพ้แล้ว ขอให้ถอยทัพ แต่เชบานีปฏิเสธ เชบานีสั่งให้ทหารต่อสู้ต่อไป
เมื่อทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันต่อไปอย่างชุลมุนวุ่นวาย กองทัพของบาเบอร์กลับเป็นฝ่ายถูกตีกระหนาบจากทั้งหน้าและหลัง ทำให้พ่ายแพ้ยับเยิน บาเบอร์มองไปรอบกายพบทหารฝ่ายเดียวกันเพียงสิบกว่านายเท่านั้น ทหารของเขาจึงรีบพาบาเบอร์หนีออกไปได้จากปีกขวาของกองทัพ
บาเบอร์กลับมาถึงซามาร์คันด์ในสภาพที่พ่ายแพ้ยับเยิน และสูญเสียกองทัพเกือบทั้งหมด
ความพ่ายแพ้ของบาเบอร์ครั้งนี้เป็นครั้งที่ยับเยินที่สุดตั้งแต่บาเบอร์ต่อสู้มา เขาสูญเสียแม่ทัพนายกองคนสำคัญและทหารที่จงรักภักดีจำนวนมากไปในสมรภูมิ ทหารที่รอดชีวิตต่างยอมจำนนต่อฝ่ายอุซเบคหรือไม่ก็แตกหนีออกจากเมืองไปหมดแล้ว พวกชนชั้นสูงต่างหนีออกจากเมืองซามาร์คันด์ เพราะคิดว่าไม่มีสิ่งใดที่จะหยุดมูฮัมหมัด เชบานีได้อีก
บาเบอร์ติเตียนตนเองหลังจากความพ่ายแพ้ว่า
ฉันได้เห็นแล้วว่าเรื่องพวกนั้น (เรื่องโหราศาสตร์) ไม่มีค่าอะไร และการรีบของฉันมันไม่มีเหตุผลอะไรเลย!
สูญเสียซามาร์คันด์
วันรุ่งขึ้นบาเบอร์เรียกแม่ทัพที่ยังเหลืออยู่เข้ามา และสั่งให้เตรียมการป้องกันเมือง เหล่าทหารจึงออกไปเตรียมการเท่าที่ทำได้ และรอการมาของมูฮัมหมัด เชบานี
อีกไม่กี่วันต่อมา กองทัพอุซเบคของเชบานีก็ยกมาถึง เขาร้องท้าให้บาเบอร์ยกออกมารบกัน แต่บาเบอร์ปฏิเสธและตั้งมั่นรักษาเมืองเอาไว้ เชบานีจึงให้ทหารร้องท้าทุกวัน จนชาวเมืองซามาร์คันด์รู้สึกโกรธและต้องการออกมาต่อสู้ แต่ทหารของบาเบอร์ได้หยุดยั้งความโกรธของชาวเมืองเอาไว้ได้
เมื่อเห็นว่ายั่วยุไปก็ไม่ได้ผล กองทัพอุซเบคจึงเริ่มต้นเข้าตีเมืองผ่านทางประตูเหล็กทางด้านหน้า ตัวบาเบอร์เองก็ต้องออกมาช่วยป้องกันเมือง เขายิงธนูต่อสู้กับศัตรูอยู่บนกำแพง
หากแต่ว่าบาเบอร์และทหารของเขากลับปล่อยให้อีกด้านของเมืองร้างกำลังทหาร เปิดโอกาสให้เชบานีส่งทหารหลายร้อยนายเข้าโจมตี แต่ทหารของบาเบอร์ตามเข้ามาช่วยส่วนนี้ทัน ทำให้รอดพ้นจากการเสียเมืองไปได้อย่างหวุดหวิด
หลังจากนั้นเชบานีก็พยายามโจมตีเมืองอีกหลายครั้ง แต่เมืองยังคงไม่แตก เชบานีจึงเปลี่ยนกลยุทธ์จากเข้าตีเมืองเป็นล้อมเมืองแทน
เสบียงอาหารในเมืองเริ่มร่อยหรอลงเมื่อผ่านไปสามสี่เดือน บาเบอร์เล่าว่าเหล่าพลเมืองลำบากมาก พวกคนยากจนเริ่มกินเนื้อสุนัขและมูลต่างๆ เป็นอาหาร พวกทหารเองก็ต้องให้ใบไม้เป็นอาหารแก่ม้าศึกแทนที่จะเป็นหญ้า
ในเวลาเที่ยงคืนของวันหนึ่ง กองทัพอุซเบคก็นำกลองมาตั้งหน้าเมือง และตีมันอย่างบ้าระห่ำ นอกจากนี้ยังให้ทหารจำนวนมากมาโห่ร้อง ทำให้ทหารในเมืองไม่ได้หลับได้นอน และเกิดความกังวลไปตามๆ กัน
บาเบอร์ได้ส่งกำลังไปขอกองทัพสนับสนุนจากทุกทิศทุกทาง แต่ไม่มีใครยินยอมส่งกำลังมาช่วยเลย บาเบอร์เขียนไว้อย่างทุกข์ใจว่า
ไม่มีใครเคยช่วยฉันตอนที่ฉันมีอำนาจและยังไม่พ่ายแพ้ แล้วใครกันจะมาช่วยฉันในเวลานี้กันเล่า
นานวันเข้าทหารและพลเมืองที่ได้รับความอดอยากต่างทิ้งเมืองหนีไป แม้กระทั่งทหารที่บาเบอร์ไว้ใจก็ตาม
ท้ายที่สุดแล้ว บาเบอร์ตัดสินใจที่จะหนีออกจากเมืองพร้อมกับครอบครัวของเขา เมื่อบาเบอร์จากไปแล้ว เมืองซามาร์คันด์จึงทิ้งอาวุธยอมจำนนต่อมูฮัมหมัด เชบานี
นี่จึงเป็นครั้งที่ 2 ที่บาเบอร์ได้เมืองซามาร์คันด์ และเสียมันไปอย่างรวดเร็ว
หลบหนี
บาเบอร์หลบหนีออกมาจากเมืองพร้อมกับครอบครัวที่มีผู้หญิงจำนวนมาก และทหารเพียงหยิบมือ ระหว่างทางบาเบอร์และคณะกลับหลงทาง และพัดหลงกับพี่สาวด้วย ทำให้เธอถูกทหารของมูฮัมหมัด เชบานีจับกุมตัวไปได้ ภายหลังเธอตกเป็นภรรยาคนหนึ่งของเชบานี
ถึงกระนั้นบาเบอร์ก็โชคดีที่มีผู้อุปการะตลอดทาง บาเบอร์ที่รู้สึกว่าพระเจ้าทอดทิ้งตนจึงรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง เขากล่าวว่า
ความสุขที่มาหลังความเศร้าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่บาเบอร์กลับมามีแต่ตัวอีกครั้ง เขาไม่มีกองทัพใดๆ เหลืออยู่ บาเบอร์จำต้องหนีเข้าไปในเขตแดนทัชเคนท์อีกครั้งหนึ่ง สุลต่าน (ข่าน) แห่งทัชเคนท์ได้ให้บาเบอร์ไปอาศัยที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อดิคคัท (Dikh-kat)
เรื่องมหัศจรรย์ในช่วงนี้คือ ยายของบาเบอร์ ผู้ที่เคยช่วยบาเบอร์ไว้ครั้งหนึ่งแล้ว ได้ออกมาจากซามาร์คันด์ได้สำเร็จตามหลังบาเบอร์ เธอได้นำทหารบางส่วนที่อิดโรยมาหาบาเบอร์ที่ Dikh-kat ถึงแม้จะอายุมากแล้ว แต่เธอก็ยังเก่งกาจไม่เสื่อมคลายจริงๆ
ปี ค.ศ.1502 จึงเป็นปีที่บาเบอร์ตกอับอย่างแท้จริง บาเบอร์สูญเสียทุกสิ่งที่เขาเคยได้กลับมาแล้วครั้งหนึ่ง บาเบอร์จะทำอย่างไรต่อไปกันแน่?