ประวัติศาสตร์7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคโบราณมีอะไรบ้างและมีที่มาอย่างไร

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคโบราณมีอะไรบ้างและมีที่มาอย่างไร

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกหรือ Seven Wonders of The World มีการจัดลำดับหลายยุคหลายสมัย แต่ที่เก่าแก่และดั้งเดิมที่สุดคือ สิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคโบราณ เพราะว่าเป็นการจัดลำดับของชาวกรีกในสมัยโบราณจริงๆ (แม้จะไม่สมบูรณ์เท่าไรนัก เพราะชาวกรีกไม่เคยเดินทางไปถึงดินแดนจีน)

ที่มาของการจัดลำดับนี้มีอยู่ว่า หลังจากที่อเล็กซานเดอร์มหาราชได้ผนวกเปอร์เซียและอียิปต์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรแล้ว ชาวกรีกได้เดินทางมาค้าขายกับดินแดนเหล่านี้ ทำให้พวกเขาได้เห็นความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมหลายแห่ง ชาวกรีกจึงได้ทำรายชื่อของ “สถานที่ที่ควรไปชม” ในโลกที่พวกเขารู้จักสำหรับพวกนักเดินทาง

จะว่าไปแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับ การทำมิชลินไกด์ในปัจจุบันเท่าไรนัก

รายชื่อที่ว่าปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์ตั้งแต่ช่วงปี 100 BC (หรือก่อนคริสตกาล 100 ปี) เรียกได้ว่ารายชื่อนี้มีอายุมากกว่าสองพันปีเลยทีเดียว

ในเวลาต่อมาคำว่า “สิ่งมหัศจรรย์” ถึงจะมาแทนที่คำว่า “สถานที่ที่ควรไปชม” หลังจากนั้นเราก็เรียกสถานที่เหล่านี้ว่า “สิ่งมหัศจรรย์” มาจนถึงทุกวันนี้ ทุกสถานที่เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นและมิใช่สร้างขึ้นโดยธรรมชาติแต่อย่างใด

มาดูกันครับว่ามีสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคโบราณมีอะไรบ้าง

1. พีระมิดแห่งกิซา

พีระมิดแห่งกิซา (Great Pyramid of Giza) เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มนุษย์เคยสร้างมาก็ว่าได้ แม้จะผ่านไปเกือบห้าพันปีแล้ว พีระมิดแห่งนี้ยังคงอยู่รอดปลอดภัยในประเทศอียิปต์ ขณะที่สิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคโบราณอื่นๆ ถูกทำลายไปหมดแล้ว

พิระมิดแห่งกิซา By Nina – Own work, CC BY 2.5,

ตัวพีระมิดถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสุสานของฟาโรห์คูฟู ฟาโรห์ของอียิปต์ในช่วงปี 2500 BC (ก่อนคริสตกาล 2500 ปี) ในช่วงเวลานั้นส่วนใหญ่ของโลกยังไม่มีอารยธรรมอยู่เลย แต่ชาวอียิปต์กลับรุ่งเรืองถึงขนาดสร้างสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาได้แล้ว แถมพีระมิดแห่งกิซายังครองแชมป์เป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกเป็นเวลานานเกือบห้าพันปีด้วย

ความสูง ความยิ่งใหญ่ ความเก่าแก่ และความคงทน ทำให้สถานที่แห่งนี้จึงเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกได้อย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ

ปัจจุบันพีระมิดแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับ 1 ของประเทศอียิปต์

2. อนุสาวรีย์เทพเจ้าซุสที่โอลิมเปีย

อนุสาวรีย์เทพเจ้าซุสที่โอลิมเปีย หรือ Statue of Zeus at Olympia เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในยุคโบราณที่ตั้งอยู่ที่วิหารโอลิมเปียในดินแดนกรีก (ประเทศกรีซในปัจจุบัน)

ตัวอนุสาวรีย์เป็นรูปเทพเจ้าซุส เทพเจ้าสูงสุดในตำนานปรัมปรากรีกนั่งอยู่บนบัลลังก์ (ตามรูปด้านล่าง) ตัวอนุสาวรีย์มีขนาดใหญ๋มากและสร้างจากงาช้างและทองคำ ส่วนบริเวณฐานทำขึ้นมาจากไม้ ช่างชาวกรีกได้ตบแต่งอนุสาวรีย์อย่างงดงามด้วยการใช้ของมีค่าเช่น หินสวยๆ และทองคำอย่างมากมาย

อนุสาวรีย์เทพเจ้าซุสที่โอลิมเปีย

อนุสาวรีย์แห่งนี้สร้างขึ้นในช่วงปี 435 BC และอยู่ได้มาหลายร้อยปี ซูโทนิอุส นักประวัติศาสตร์โรมันเล่าว่า คาลิกูล่า จักรพรรดิเพี้ยนของจักรวรรดิโรมันพยายามนำอนุสาวรีย์ดังกล่าวมายังโรม เพื่อที่จะนำส่วนเศียรของอนุสาวรีย์ออก และใส่รูปเหมือนศีรษะของตัวคาลิกูล่าเองเข้าไปประกบแทนที่ โชคดีที่คาลิกูล่าตายเสียก่อน เรื่องบ้าๆเช่นนี้จึงไม่เกิดขึ้น

ตัวอนุสาวรีย์อยู่ได้มาจนถึงช่วงศตวรรษที่ 5 เมื่อศาสนากรีก-โรมันเริ่มเสื่อมลง ผู้นับถือจึงน้อยลงไปด้วย การดูแลรักษาอนุสาวรีย์แห่งนี้จึงน้อยลงไปตามลำดับ เมื่อมีประกาศแบนศาสนาเก่าอย่างเป็นทางการในศตวรรษที่ 4 อนุสาวรีย์แห่งนี้จึงถูกละเลยโดยสมบูรณ์

ไม่ปรากฏแน่ชัดในหน้าประวัติศาสตร์ว่ามันเสื่อมสูญไปอย่างไร บ้างว่ามันถูกไฟไหม้จนเสียหายไม่เหลือแต่ซาก (ฟังดูเป็นไปได้เพราะฐานอนุสาวรีย์ทำมาจากไม้)

3. สวนลอยแห่งบาบิโลน

สวนลอยแห่งบาบิโลน (Hanging Gardens of Babylon) เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณที่แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาของชาวเมโสโปเตเมีย

จริงๆแล้วสวนลอยแห่งนี้มันไม่ได้ “ลอย” เหมือนกับคำแปลในภาษาไทยของมัน แต่มันเป็นสวนที่มีลักษณะเป็นชั้นๆ ราวกับว่าเป็นภูเขาตามเจตนารมณ์ของกษัตริย์บาบิโลนที่ต้องการสร้างให้สวนแห่งนี้ดูเหมือนเป็นภูเขาสีเขียว มเหสีของเขาจะได้หายคิดถึงบ้าน

มเหสีของกษัตริย์แห่งบาบิโลนประทับใกล้กับสวนลอยแห่งบาบิโลน

สวนแห่งนี้มีพืชพรรณมากมายทำให้มันดูเหมือนภูเขาจริงๆ นอกจากนี้ยังมีระบบชลประทานอันซับซ้อนที่ทำให้พืชเหล่านี้เติบโตอยู่ได้ตลอดปี

อย่างไรก็ตาม สวนลอยบาบิโลนเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคโบราณแห่งเดียวที่เราไม่ทราบแน่ชัดว่ามันตั้งอยู่ที่ใดกันแน่ เพราะเราไม่เคยค้นพบซากใดๆของมันเลย และไม่เคยมีหลักฐานชั้นต้นในเมืองบาบิโลนที่กล่าวถึงมันด้วย เราได้ข้อมูลของมันจากสิ่งที่ชาวกรีกโบราณเขียนไว้เท่านั้น มันจึงเป็นไปได้ที่สวนลอยนี้ไม่เคยมีอยู่จริง

4. วิหารแห่งอาร์เทมิส

วิหารแห่งอาร์เทมิส (Temple of Artemis) เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคโบราณที่ตั้งอยู่ที่เมือง Ephesus ในดินแดนเอเชียไมเนอร์ (ปัจจุบันคือประเทศตุรกี)

ในเวลานั้นชาวกรีกจำนวนมากยังอาศัยในดินแดนเอเชียไมเนอร์ ชาวกรีกได้สร้างวิหารขนาดใหญ่ให้กับเทพีอาร์เทมิสในช่วงปี 700 BC วิหารเป็นแบบกรีกแท้ๆ ที่มีความสวยงามมาก แต่วิหารตั้งอยู่ได้ไม่นานนักก็ถูกทำลายเพราะน้ำท่วมใหญ่

เศษซากที่เหลืออยู่ของวิหารแห่งอาร์เทมิส By I, Sailko, CC BY-SA 3.0,

ชาวลิเดียที่ปกครองดินแดนแถบนั้นได้สร้างวิหารขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่งในช่วงปี 550 BC แต่วิหารนี้ก็ไม่รอดอีก ครั้งนี้มันถูกวางเพลิงโดยชายชื่อ Herostratus เพราะว่าเขาอยากจะดัง

วิหารได้รับความเสียหายยับเยินแต่ก็ได้รับการสร้างใหม่เป็นครั้งที่สาม ในช่วงปี 327 BC ตัววิหารมีขนาดใหญ่กว่าเดิม และอยู่มาได้นานกว่า 600 ปี แต่สุดท้ายก็ถูกทำลายเช่นเดิมในช่วงปี ค.ศ.280 โดยอนารยชนชาวกอธ

หลังจากนั้นวิหารแห่งนี้ได้รับการซ่อมแซมและอยู่ในสภาพดี จนกระทั่งจักรพรรดิ Theodosius ห้ามการทำพิธีศาสนาของศาสนากรีก-โรมัน ทำให้วิหารแห่งอาร์เทมิสขาดการดูแลรักษาตั้งแต่บัดนั้น ผู้ปกครองจักรวรรดิไบแซนไทน์และออตโตมันในเวลาต่อมาได้นำหินจากวิหารอาร์เทมิสไปสร้างสิ่งก่อสร้างใหม่เช่น ฮาเกีย โซเฟีย

ปัจจุบันเศษซากของวิหารที่เคยยิ่งใหญ่ยังคงอยู่ในประเทศตุรกี แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าเสาต้นเล็กๆ อีกแล้ว

5. สุสานแห่งฮาลิคาแนสซัส

สุสานแห่งฮาลิคาแนสซัส (Mausoleum of Halicarnassus) เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ถูกสร้างขึ้นที่เมือง Halicarnassus (ปัจจุบันคือประเทศตุรกี)

เจ้าของสุสานคือ Mausolus เขาเป็นเพียงผู้ว่าราชการคนหนึ่งของจักรวรรดิเปอร์เซีย แต่สุสานของเขายิ่งใหญ่และมีความงดงามมาก สุสานของเขาถูกสร้างโดยสถาปนิกและช่างชาวกรีกฝีมือเยี่ยมหลายคนในช่วงปี 350 BC มันจึงได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์แห่งยุคโบราณในเวลาต่อมา

ตัวสุสานมีฐานยกสูงจากด้านล่างตามแบบของชาว Lycia ตามแบบจำลองด้านล่าง

แบบจำลองสุสานแห่งฮาลิคาแนสซัส

สุสานแห่งนี้อยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงในช่วงยุคกลางที่มันถูกทำลายด้วยแผ่นดินไหวหลายครั้ง ในศตวรรษที่ 15 มันจึงเหลือแต่ซาก พวกอัศวินแห่งเซนต์จอห์นได้นำหินไปสร้างปราสาทเพื่อป้องกันการรุกรานของพวกออตโตมัน แต่ก็ไม่สำเร็จ

ปัจจุบันสิ่งที่เหลืออยู่มาถึงทุกวันนี้คือ เศษซากของมันเท่านั้น มันไม่เหลือความยิ่งใหญ่หรือความงดงามอีกต่อไปแล้ว

6. ประภาคารอเล็กซานเดรีย

ประภาคารอเล็กซานเดรีย (Lighthouse of Alexandra) เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในยุคโบราณที่อยู่เกาะอเล็กซานเดรีย เกาะเล็กๆใกล้กับเมืองอเล็กซานเดรีย เมืองเก่าแก่ในดินแดนอียิปต์

ประภาคารอเล็กซานเดรีย

ตัวประภาคารสร้างขึ้นมาจากหินปูน แต่ด้วยความสูงมากกว่า 100 เมตร ทำให้เป็นที่สงสัยว่ามันถูกสร้างขึ้นโดยหินปูนจริงหรือไม่ เพราะว่าหินปูนไม่น่าจะทนทานขนาดนั้น หลักฐานอาหรับเสริมว่ามันถูกสร้างจากหินสีอ่อน แต่ก็ไม่ได้ให้รายละเอียดมากกว่านั้น

โตเลมีที่ 1 (Ptolemy I) สร้างประภาคารแห่งนี้ในช่วงปี 280 BC เพื่อนำทางเรือต่างๆ ที่จะเข้ามาที่เมืองอเล็กซานเดรียในเวลาค่ำคืน ประภาคารแห่งนี้ยิ่งใหญ่และคงทนเป็นอย่างยิ่ง หลักฐานอาหรับทั้งหลายบรรยายว่าในสมัยที่พวกเขาพบเห็นมันนั้น มันยังมีความสูงประมาณ 110 เมตร และฐานยังมีขนาด 30 คูณ 30 เมตร ไฟจะถูกจุดขึ้นที่ยอดของประภาคารในเวลากลางคืน ทำให้มันเป็นที่พบเห็นได้จากระยะไกล

ประภาคารได้รับความเสียหายหนักมากจากแผ่นดินไหวหลายครั้งในช่วงศตวรรษที่ 8-14 โดยเฉพาะในปี ค.ศ.1303 ที่เสียหายหนักจนเกินกว่าที่จะซ่อมได้ ผู้ปกครองชาวอาหรับเคยคิดจะซ่อมมันแต่ก็ไม่เป็นผล มันจึงถูกทิ้งเป็นกองหิน ในเวลาต่อมาชาวอาหรับจึงนำหินเหล่านี้ไปสร้างเป็นสิ่งก่อสร้างอื่นๆ

ในศตวรรษที่ 20 นักโบราณคดีพบเศษซากจำนวนมากของประภาคารอเล็กซานเดรียจมอยู่ในท้องทะเลใกล้กับเมืองอเล็กซานเดรีย ปัจจุบันมันจึงได้รับการสำรวจโดยผู้เชี่ยวชาญอยู่เนืองๆ

7. อนุสาวรีย์โคลอสซัสแห่งโรดส์

อนุสาวรีย์โคลอสซัสแห่งโรดส์ (Colossus of Rhodes) เป็นอีกหนึ่งอนุสาวรีย์ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคโบราณ

โคลอสซัสแห่งโรดส์

ตัวอนุสาวรีย์เป็นรูปเหมือนของเทพเจ้า Helios เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ในตำนานกรีก ที่ตั้งในอดีตของอนุสาวรีย์แห่งนี้อยู่ที่เกาะโรดส์ (Rhodes) ของประเทศกรีซในปัจจุบัน หลักฐานกรีกโรมันว่ามันมีความสูงประมาณ 33 เมตร หรือเท่ากับความสูงของเทพีเสรีภาพ (รวมฐานด้วย) ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา

ผู้ปกครองเกาะโรดส์สั่งให้สร้างอนุสาวรีย์ดังกล่าวขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะที่โรดส์มีต่อไซปรัส มันสร้างเสร็จในช่วงปี 280 BC ตัวอนุสาวรีย์ถูกสร้างขึ้นจากเหล็ก สำริด และหินอ่อน เมื่อสร้างเสร็จแล้ว หน้าของอนุสาวรีย์หันออกไปทางนอกเมืองราวกับว่าต้อนรับผู้ที่กำลังเข้ามาในเมืองแห่งนี้

โชคร้ายที่อนุสาวรีย์นี้ไม่เคยอยู่ได้นานนัก หลังจากสร้างได้ไม่กี่สิบปี โรดส์ก็เผชิญกับแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ ทำให้อนุสาวรีย์แตกออกจนตกลงมากองกระจัดกระจายอยู่ที่พื้น แต่ความสวยงามก็ยังอยู่ ทำให้ชาวกรีกจำนวนหนึ่งเดินทางไปที่โรดส์เพื่อไปดูซากของอนุสาวรีย์นี้โดยเฉพาะ

ซากอนุสาวรีย์แห่งนี้กองอยู่ที่พื้นนานกว่า 800 ปี จนกระทั่งผู้รุกรานชาวอาหรับได้ยึดเมืองโรดส์ได้สำเร็จ พวกเขาได้นำซากของมันไปหลอมและขายมันให้กับพ่อค้าชาวยิว โคลอสซัสแห่งโรดส์จึงไม่เหลือแม้แต่ซากนับตั้งแต่บัดนั้น

Sources:

  • amazeingart
  • Suetonius, The Twelve Caesars
  • Finkel, Babylon
  • Jordanes, Getica
  • Mckenzie, The Architecture of Alexandria and Egypt, C. 300 B.C. to A.D. 700, Volume 63
  • Clayton, The Seven Wonders of the Ancient World

บทความการศึกษา

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!