ในปี ค.ศ.2020 การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอันดุเดือดเผ็ดมันจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ประธานาธิบดีอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) จะต้องลงเลือกตั้งเพื่อให้ประชาชนเลือกเพื่อที่จะดำรงตำแหน่งในสมัยที่ 2 ต่อไป
แม้ว่าประธานาธิบดีคนเดิมจะได้เปรียบคู่แข่งจากพรรคฝ่ายตรงกันข้าม ถ้า 4 ปีที่ผ่านมามีผลงานที่ประจักษ์ แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้เช่นกันในสมรภูมิเลือกตั้ง ประธานาธิบดีสหรัฐหลายคนต้องพ่ายแพ้มาแล้วในการเลือกตั้งสมัยที่ 2 ของตนเอง
ในโพสนี้ ผมได้เลือกประธานาธิบดีเด่นๆ ที่น่าจะรู้จักกันมาเขียนเท่านั้น ไม่ได้ครอบคลุมทุกประธานาธิบดีทุกคนที่แพ้ในการเลือกตั้งครั้งที่สองของตนเองครับ
1. Herbert Hoover
Herbert Hoover เป็นประธานาธิบดีคนที่ 31 ของสหรัฐอเมริกา โดยดำรงตำแหน่งอยู่ในช่วงปี ค.ศ.1929-1933 และสังกัดพรรครีพับลิกัน
ฮูเวอร์เป็นประธานาธิบดีที่จัดว่าอาภัพคนหนึ่ง หลังจากที่เขาสาบานตนเข้ารับตำแหน่งไม่กี่เดือน ตลาดหุ้นสหรัฐก็พังพินาศยับเยินในเหตุการณ์ Black Tuesday และทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฟุบตัวอย่างมากในเหตุการณ์ Great Depression
ตลอดช่วงเวลาการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก ฮูเวอร์ใช้เวลาไปกับการจัดการปัญหาเศรษฐกิจ โดยให้รัฐบาลแต่ละรัฐและบริษัทช่วยกันกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่กลับไม่ให้รัฐบาลกลางเข้าช่วยเหลือมากนัก (ทำให้ปราศจากการลงทุนโดยรัฐ)
นอกจากนี้ฮูเวอร์ยังขึ้นภาษีสินค้าต่างชาติ (ลักษณะเดียวกับทรัมป์) ทำให้ชาติอื่นๆ ขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐเป็นการตอบโต้เกิดเป็นสงครามการค้า การค้าทั่วโลกจึงทรุดตัวลงอย่างมาก เช่นเดียวกับฐานะทางการเงินของชาวอเมริกัน เพราะต้องแบกรับค่าครองชีพที่สูงขึ้น และยังส่งออกได้น้อยลงด้วย
ตลอดสมัยของฮูเวอร์ เศรษฐกิจสหรัฐจึงย่ำแย่ สินค้าทางการเกษตรตกต่ำ ธนาคารมากมายต้องปิดกิจการ อัตราการว่างงานสูงถึง 23 เปอร์เซนต์ ความนิยมของฮูเวอร์ดิ่งลงเหวลึกที่ไม่อาจฟื้นคืน เพราะขนาดสมาชิกพรรครีพับลิกันเองก็ยังไม่เอาฮูเวอร์เลย
ดังนั้นไม่ต้องสงสัยว่าชาวอเมริกันจะทิ้งฮูเวอร์ พวกเขาเลือกแฟรงคลิน รูสเวลต์ จากพรรคเดโมแครตอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งแห่งปี ค.ศ.1932 ฮูเวอร์ชนะการเลือกตั้งแค่ 6 รัฐเท่านั้นจากทั้งหมด 50 รัฐ และ DC (District of Columbia) และได้เสียงใน electoral college เพียง 59 เสียงเท่านั้น ขณะที่รูสเวลต์ได้มากถึง 472 เสียง
การปราชัยของฮูเวอร์นับเป็นความพ่ายแพ้ของประธานาธิบดีในการเลือกตั้งสมัยที่ 2 ที่ยับเยินที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
2. Gerald Ford
Gerald Ford เป็นประธานาธิบดีคนที่ 38 ของสหรัฐอเมริกาจากพรรครีพับลิกัน และเป็นหนึ่งในประธานาธิบดีที่ดำรงตำแหน่งน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ แถมยังเป็นครองตำแหน่งประธานาธิบดีที่ไม่เคยชนะการเลือกตั้งใดๆ เลยด้วย
ในสมัยที่นิกสันเป็นประธานาธิบดี ฟอร์ดได้รับตำแหน่งเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ แต่เพราะข่าวฉาวของประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี ทำให้ฟอร์ดขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีอย่างงงๆตามรัฐธรรมนูญสหรัฐ
ฟอร์ดต้องแก้ปัญหาที่หมักหมมมาตั้งแต่สมัยนิกสัน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจสหรัฐที่กำลังเลวร้ายลงจากการทำสงครามเวียดนามมาเป็นเวลานานปี เงินเฟ้อที่สูงขึ้น แม้การปัญหาของฟอร์ดถือว่าใช้ได้ แต่ฟอร์ดทำให้ความนิยมของตนเองและพรรคอยู่ในระดับเลวร้ายเพราะการอภัยโทษให้กับนิกสันในกรณีวอเตอร์เกต เคสดังกล่าวทำให้การถกเถียงอย่างรุนแรงในสังคมสหรัฐ และในพรรครีพับลิกันเองด้วย
ดังนั้นเมื่อมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 1976 ฟอร์ดรู้ตัวว่าคะแนนนิยมของตนไม่ดีเท่าไรจึงไม่เต็มใจสมัครรับเลือกตั้เป็นครั้งที่สอง แต่ก็ลงในเวลาต่อมา
การอภัยโทษนิกสันเป็นสิ่งที่หลอกหลอนฟอร์ด สื่อทั้งหลายล้วนแต่โจมตีฟอร์ดอย่างมากมายด้วยเรื่องดังกล่าว ทำให้ผลสุดท้ายแล้วฟอร์ดแพ้การเลือกตั้งต่อจิมมี คาร์เตอร์ แม้ว่าจะพ่ายแพ้ แต่ฟอร์ดไม่ได้แพ้แบบย่อยยับเหมือนฮูเวอร์ คาร์เตอร์เอาชนะฟอร์ดไปด้วยคะแนน electoral vote 297 ต่อ 240 คะแนน และชนะผล popular vote ไปอีกเล็กน้อยเท่านั้น (50% ต่อ 48%)
ฟอร์ดให้สัมภาษณ์หลังการเลือกตั้งว่า เขาเชื่อเหมือนกับนักวิชาการคนอื่นๆ ว่า การอภัยโทษนิกสันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เขาแพ้เลือกตั้ง
3. Jimmy Carter
Jimmy Carter เป็นประธานาธิบดีคนที่ 39 ของสหรัฐอเมริกา และสังกัดพรรคเคโมแครต เขาเป็นประธานาธิบดีที่เอาชนะฟอร์ดในการเลือกตั้งแห่งปี ค.ศ.1976
คาร์เตอร์มีสมัยในการดำรงตำแหน่งที่ยุ่งยากไม่ต่างกับฟอร์ด เขาต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องความขัดแย้งกับสหภาพโซเวียต ปัญหาเศรษฐกิจในประเทศและปัญหาน้ำมันแพง ในเรื่องเศรษฐกิจ รัฐบาลของคาร์เตอร์ได้คะแนนพอใช้เท่านั้น
แต่ที่ย่ำแย่ถึงขีดสุดคือ ปัญหาเรื่องการต่างประเทศ คาร์เตอร์ไม่สามารถจัดการกับกรณีที่อิหร่านจับนักการทูตสหรัฐเป็นตัวประกันได้ แถมยังคว่ำบาตรการส่งออกเมล็ดพันธุ์ให้กับสหภาพโซเวียตด้วย
การจัดการกรณีอิหร่านที่ล้มเหลวทำให้ความนิยมของคาร์เตอร์ตกต่ำลงจาก 66% ไปเป็น 34% ดังนั้นในการเลือกตั้งแห่งปี ค.ศ.1980 คาร์เตอร์จึงพ่ายแพ้ให้กับโดนัลด์ เรแกน ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันอย่างยับเยิน
เรแกนได้คะแนน electoral vote ไปถึง 489 คะแนน ส่วนคาร์เตอร์ได้เพียง 49 คะแนนเท่านั้น คะแนน popular vote เรแกนก็ชนะด้วยคะแนน 50.7% ต่อ 41% ทำให้คาร์เตอร์ต้องตามฟอร์ดไป ในฐานะประธานาธิบดีที่ได้รั้งตำแหน่งเพียงสมัยเดียวเท่านั้น
4. George H.W. Bush
George H.W. Bush คือ จอร์จ บุช คนพ่อผู้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 41 ของสหรัฐอเมริกา ลูกชายของเขาคือ George W. Bush ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาคนที่ 43 ที่ได้ดำรงตำแหน่งสองสมัย
บุชเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกัน และชนะการเลือกตั้งในปี ค.ศ.1988 สมัยของบุชเป็นสมัยที่อเมริกาทำสงครามกับอิรักในสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรก และมีชัยอย่างง่ายดาย อิทธิพลของอเมริกาจึงเพิ่มสูงขึ้นมาก นอกจากนี้การล่มสลายของสหภาพโซเวียตในสมัยของบุชยิ่งทำให้อเมริกาแข็งแกร่งมากขึ้นในเวทีโลก ความนิยมของบุชจึงอยู่ในระดับสูง ทำให้บุชน่าจะชนะการเลือกตั้งได้อย่างง่ายๆ
หากแต่ว่าในปลายสมัยของบุช ภายในประเทศสหรัฐอเมริกาเกิดปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ อัตราว่างงานสูงขึ้นที่สุดในรอบหลายปี โดยอยู่ที่เกือบ 8% บุชเองก็ผิดคำพูดตอนที่สมัยหาเสียงด้วยการขึ้นภาษี ทำให้คนอเมริกันบางส่วนรู้สึกไม่พอใจ
ดังนั้นเมื่อสมรภูมิการเลือกตั้งเริ่มขึ้นในปี ค.ศ.1992 การต่อสู้จึงดำเนินไปอย่างดุเดือด คลินตันโจมตีบุชว่าเป็นพวกไฮโซที่ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงได้ ส่วนบุชโจมตีคลินตันว่าหนีทหาร
สุดท้ายแล้วคลินตันกลับเป็นฝ่ายได้ชัยเหนือบุช เพราะคนอเมริกันหันไปใส่ใจเศรษฐกิจในประเทศมากกว่าการเมืองระหว่างประเทศ คลินตันได้คะแนน electoral vote 370 คะแนน เหนือบุชที่ได้ 168 คะแนน ส่วนคะแนน popular vote ก็ชนะด้วยคะแนน 43% ต่อ 37.4%
ด้วยเหตุนี้บุชจึงได้ดำรงตำแหน่งเพียงสมัยเดียว ต่างจากบุตรชายของตนเองที่ดำรงตำแหน่งสองสมัย
ส่วนโดนัลด์ ทรัมป์ เราต้องไปดูในการเลือกตั้งว่าเขารักษาตำแหน่งไว้ได้หรือไม่ หรือจะไปร่วมในรายชื่อของประธานาธิบดีผู้พ่ายแพ้