มีคำกล่าวว่า “ผู้ลงทุนควรศึกษาก่อนตัดสินใจลงทุน” คำกล่าวนี้ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย เพราะการลงทุนหุ้นเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยง การศึกษาเรียนรู้จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับท่านที่สนใจที่จะลงทุนด้วยการใช้ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) แล้ว หนังสือทั้งห้าที่ผมจะแนะนำต่อไปนี้ เป็นหนังสือที่เขียนดี ใช้ได้จริง มีแต่เนื้อ ไม่มีน้ำเหมือนกับหนังสือบางเล่ม
มาดูกันเลยครับ มีเล่มไหนบ้าง
1. One Up on Wall Street
One Up on Wall Street หรือในฉบับแปลว่า “เหนือกว่าวอลสตรีท” เป็นหนังสือที่เขียนโดยปีเตอร์ ลินช์ (Peter Lynch) ผู้จัดการกองทุนระดับเทพของ Fidelity Magellan Fund ลินช์เป็นหนึ่งในผู้จัดการกองทุนที่เก่งกาจที่สุดคนหนึ่งในวงการลงทุน ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยของเขาในระยะเวลาสิบกว่าปีเป็นสองเท่าของดัชนี S&P 500
หนังสือของลินช์เป็นหนังสือที่อ่านง่ายมาก และอ่านสนุกด้วย เขาเป็นคนที่ถ่ายทอดความรู้ได้ดีมาก สิ่งที่ผมชอบที่สุดจากหนังสือเล่มนี้คือ การที่ลินช์จัดหมวดหมู่หุ้นแต่ละประเภทและให้คำแนะนำว่าหุ้นลักษณะนี้เราจะลงทุนและจัดการกับมันอย่างไร แถมยังมีแนวคิดหาหุ้นแบบง่ายๆ ใกล้ตัวให้มาด้วย
จุดสำคัญของแนวคิดของลินช์คือ เขาจะหาหุ้นที่ในอนาคตจะมีราคาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 10 เท่าของปัจจุบัน หุ้นดังกล่าวนี้ลินช์ให้ชื่อว่า “Ten-Bagger” หุ้นเหล่านี้จะเป็นหุ้นที่ทำกำไรให้กับนักลงทุนมากที่สุด
One Up on Wall Street ประสบความสำเร็จมากในฐานะหนังสือ มันถูกขายไปหลายล้านเล่ม จากโดยส่วนตัวที่เคยลองใช้วิธีของหนังสือเล่มนี้มาในตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ผมพบว่าวิธีดังกล่าวใช้ได้จริง และอาศัยการประยุกต์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แนวคิด: ลงทุนระยะยาว (Long-term investing), ซื้อหุ้นเติบโตในราคาที่เหมาะสม (GARP-Growth at Reasonable Price)
หนังสือ One Up on Wall Street มีแปลเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ อย่างไรก็ดีผมแนะนำฉบับภาษาอังกฤษมากกว่าครับ
2. Investing the Templeton Way
หนังสือเล่มนี้มีชื่อเต็มๆ ว่า “Investing the Templeton Way: The Market-Beating Strategies of Value Investing’s Legendary Bargain Hunter”
ตัวหนังสือเขียนโดย Laura Templeton หลานสาวของเซอร์จอห์น เทมเพิลตัน (Sir John Templeton) ผู้ล่วงลับ อย่างไรก็ตามตัวเซอร์จอห์นเป็นผู้เขียนคำนิยมหนังสือให้ด้วยตัวของเขาเอง
ในหนังสือเล่าถึงวิธีการลงทุนของเซอร์จอห์น เทมเพิลตัน นักลงทุนระดับตำนานคนหนึ่งของอเมริกา วิธีการลงทุนของเซอร์จอห์นไม่มีอะไรซับซ้อน นั่นคือการเปิดกว้างและแสวงหาโอกาสตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นในประเทศและต่างประเทศ ทำใจให้นิ่งไว้เสมอ กระจายความเสี่ยงให้เหมาะสม และซื้อหุ้นตอนที่ “เลือดท่วมตลาด” เท่านั้น
ตลอดชีวิตการลงทุนของเซอร์จอห์น เขาประสบความสำเร็จมาก เขาสร้างชื่อเสียงจากการซื้อหุ้นในช่วงที่ตลาดแย่สุดๆ ในช่วงหลังเหตุการณ์ Black Tuesday และทำเงินได้จำนวนมหาศาล หลายสิบปีต่อมาเซอร์จอห์นมีทรัพย์สินมากถึง 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ
คำกล่าวของเซอร์จอห์นที่ปรากฏในหนังสือ และมีชื่อเสียงมากคือ (แปลโดยผู้เขียน)
ตลาดกระทิงเกิดจากการมองโลกในแง่ร้าย เติบโตด้วยความสงสัย โตเต็มวัยด้วยการมองโลกในแง่ดี และตายด้วยการตื่นตูมโลกสวย
คำกล่าวของเซอร์จอห์นหมายถึงว่า ตลาดกระทิงเกิดเมื่อคนทั่วไปยังไม่เชื่อว่าหุ้นจะขึ้นได้ และตายเมื่อทุกคนโลกสวยนั่นเอง
โดยส่วนตัวแล้ว แนวคิดของเซอร์จอห์นทำให้ผมสนใจลงทุนในหลายต่างประเทศนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
แนวคิด: การลงทุนแนวคุณค่า (Value Investing), ลงทุนในทั่วโลกที่มีโอกาส (Global Investing), การลงทุนโดยสวนทางกับคนส่วนใหญ่ (Contrarian Investing), ลงทุนระยะยาว (Long-Term Investing)
3. How to Make Money In Stocks
How to Make Money In Stocks เป็นหนังสือที่เขียนโดยวิลเลียม โอนีล (William O’Neil) อีกหนึ่งปรมาจารย์แห่งตลาดหุ้น เขาเป็นผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ชื่อดังอย่าง Investor’s Business Daily
แนวคิดที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้คือ แนวคิดแบบ CAN SLIM ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเจสซี่ ลิเวอร์มอร์ นักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ในยุค 1920s
วิธีการเลือกหุ้นของโอนีลคือ เขาจะเลือกเฉพาะหุ้นตัวนำตลาด (Leader) เท่านั้น โดยส่วนมากแล้วหุ้นที่เป็นตัวนำตลาดจะมีผลประกอบการดี มีการเติบโตสูง และเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โอนีลเป็นคนที่ไม่ยึดติดกับหุ้น เขาจะถือหุ้นตัวนั้นในช่วงที่มันรุ่งโรจน์ที่สุดเท่านั้น และพร้อมที่จะขายทันที ถ้าราคาหุ้นไม่แสดงออกอย่างที่เขาคาดไว้
จากประสบการณ์ที่ผมได้ลองมาแล้ว ถ้าใช้วิธีการของโอนีล หุ้นที่ถือในพอร์ตจะเป็นหุ้นพื้นฐานดีที่เติบโตสูง แต่แน่นอนว่าคุณต้องใช้เวลาดูแลหุ้นของคุณพอสมควร (อย่างน้อยวันละครั้ง) เพื่อดูว่าถึงเวลาต้องขายหุ้นแล้วหรือไม่
โอนีลไม่ปฏิเสธการใช้กราฟในการลงทุนในหุ้นของเขา ในทางกลับกันกราฟกลับเป็นส่วนสำคัญด้วยซ้ำไป มันเป็นปัจจัยที่ช่วยในการซื้อขายตามทฤษฎีของโอนีล ดังนั้นอย่าได้แปลกใจที่ในหนังสือของเขามีส่วนที่เกี่ยวข้องกับกราฟอย่างมากมาย
สำหรับท่านที่ไม่สนใจกราฟ สามารถข้ามไปเลยก็ได้ เพราะเพียงแค่การอ่านส่วนที่เป็นปัจจัยพื้นฐานในหนังสือเล่มนี้ก็สามารถช่วยให้ท่านเลือกหุ้นได้ดีขึ้นแล้ว
แนวคิด: ลงทุนในหุ้นเติบโตสูง (Growth Investing), ลงทุนโดยใช้โมเมนตัม (Momentum Investing), ใช้กราฟ (Technical Analysis), การลงทุนระยะสั้น-กลาง (Short-Midterm investing)
4. The Warren Buffett Way
วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) เป็นนักลงทุนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก และเป็นที่ยอมรับอย่างสูงในภาคการเงินมานานหลายสิบปี หนังสือที่เกี่ยวกับบัฟเฟตต์มีมากมายหลายสิบเล่ม และทุกเล่มไม่ใช่บัฟเฟตต์เป็นผู้เขียนเองเลยสักเล่มเดียว
ผมมีโอกาสได้อ่านหนังสือเหล่านี้ที่เกี่ยวกับตัวบัฟเฟตต์ และแนวคิดการลงทุนของเขามากกว่าสิบเล่ม แต่พบว่าไม่มีเล่มใดที่เขียนได้ดีกว่า “The Warren Buffett Way” ที่เขียนโดย Robert G.Hagstrom ตัวหนังสือเล่มนี้ได้รับการยกย่องโดยนักลงทุนระดับตำนานหลายคน เช่นปีเตอร์ ลินช์ และ บิลล์ มิลเลอร์ ผู้เขียนคำนิยมของหนังสือให้
ผู้เขียนได้อธิบายแนวคิดการลงทุนของวอร์เรน บัฟเฟตต์ให้เข้าใจง่าย (มาก) เพราะใช้ภาษาที่ง่ายสุดๆ ต่อการอ่าน โดยไม่ได้มีแต่ศัพท์ยากๆ ที่ไม่เข้าใจ ทำให้หนังสือเล่มนี้เหมาะกับผู้เริ่มต้นศึกษาการลงทุนใหม่ๆ อย่างยิ่ง โดยเฉพาะการลงทุนแนวคุณค่า (Value Investing)
ประเด็นสำคัญของหนังสือเล่มนี้คือ ลงทุนในหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง บริษัทต้องเป็นบริษัทที่มีผู้บริหารที่ซื่อสัตย์ มีอนาคตที่ดี และมีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการที่สูง
แนวคิด: ลงทุนแนวคุณค่า (Value Investing), ลงทุนระยะยาว (Long Term Investing), ซื้อหุ้นเติบโตในราคาที่เหมาะสม (Growth at Reasonable Price – GARP)