ตำนาน5 ผีเด่นดังอยู่คู่วัฒนธรรมไทย

5 ผีเด่นดังอยู่คู่วัฒนธรรมไทย

ผีเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับวัฒนธรรมไทยมานานแสนนาน ปัจจุบันคนไทยจำนวนมากยังมีความเชื่อในเรื่องผีเหล่านี้ บางชนิดเป็นผีพื้นบ้านเช่น ผีกระสือ ผีปอบ ผีกระหัง เป็นต้น

ถึงแม้ประเทศไทยจะรับศาสนาพุทธมาเป็นเวลานานมากแล้ว แต่ความเชื่อเรื่องผียังมิได้เสื่อมคลาย เพราะความเชื่อเหล่านี้เป็นความเชื่อพื้นฐานที่สืบต่อมาจากรุ่นสู่รุ่นนั่นเอง

เรามาดูกันครับว่าชนิดของผีไทยมีอะไรบ้าง

1. กระสือ

ผีกระสือ (Phi Krasue) เป็นหนึ่งในผีไทยพื้นบ้านที่มีชื่อเสียงมากที่สุด แต่จะว่ากระสือเป็นผีไทยแท้ก็ไม่ถูกต้องนัก เพราะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็มีผีที่คล้ายกับกระสือเหมือนกัน อย่างกัมพูชามีผีเอิบ ส่วนมาเลเซีย ผีปินังกาลัน ซึ่งมีลักษณะเหมือนกระสือ ดังนั้นผีกระสือจึงเป็นวัฒนธรรมร่วมของภูมิภาคนี้ก็ว่าได้

สำหรับกระสือนี้จะเป็นผีผู้หญิงเท่านั้น กระสือจะสิงอยู่ในเจ้าของร่างที่เหมือนคนทั่วไปทุกประการ ทำให้คนอื่นไม่รู้ว่าคนๆนั้นเป็นกระสือ (ฟังดูคล้ายกับพยาธิสิงอยู่ในร่าง Host)

กระสือชอบกินของสดๆ หรือของเน่าๆ โดยจะออกไปหากินตอนกลางคืน เวลาที่มันออกไปหากิน มันจะออกไปแค่หัวกับตับไตไส้พุงเท่านั้น และจะมีแสงสีแดงล้อมรอบตัวมันเป็นดวงไฟ ทำให้มองเห็นมันได้จากระยะไกล

ผีกระสือ หนึ่งในผีคู่วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Cr: Xavier Romero-Frias

คนจำนวนมากยังเชื่ออีกว่า กระสือจะแพร่พันธุ์โดยคายน้ำลายเข้าสู่บุคคลอื่น ซึ่งส่วนมากเป็นลูกหลานตัวเอง เพื่อที่จะสืบทอดพันธุ์กระสือต่อไปตราบนานเท่านาน นอกจากนี้การทำไสยศาสตร์ยังทำให้เป็นกระสือไปด้วยเช่นกัน

เป็นที่เชื่อกันว่ากระสือเป็นผีระดับสูง ไม่มีวิธีปราบให้หายจากการเป็นกระสือได้ นอกจากต้องฆ่าตัวเจ้าของร่างไปเท่านั้น

คนไทยสมัยโบราณกลัวกระสือมาก เวลาเจออะไรเรืองแสงได้ในเวลากลางคืน แน่นอนว่าทุกคนจะเผ่นป่าราบไปในบัดดล ซึ่งในปัจจุบันเราทราบแล้วว่า ในธรรมชาติพืชหรือเห็ดบางชนิดก็สามารถเรืองแสงได้ในที่มืดนั่นเอง

กระสือปรากฏอยู่ในกฎหมายตราสามดวงในสมัยอยุธยาด้วย โดยได้กล่าวว่าพวกผีเหล่านี้จะไม่ถูกรับฟังในการฟ้อง แสดงให้เห็นว่าความเชื่อเรื่องกระสือมีมานานแล้วนั่นเอง อ่านเพิ่มเติมเรื่องนี้ได้ที่บทความของมติชน

2. กระหัง

ผีกระหัง (Phi Krahang) เป็นผีที่คล้ายกับกระสือ ผีชนิดนี้เป็นผีผู้ชาย และออกหากินในเวลากลางคืนเหมือนกระสือ เชื่อกันว่าผีพวกนี้คือพ่อมดหมอผีที่มีอาคมเก่งกล้ามากๆ จนสุดท้ายคุมพลังของตนเองไม่ได้เลยกลายเป็นกระหังไป หรือไม่ก็กระทำผิดอะไรสักอย่าง เช่น ผิดคำสาบานเป็นต้น

อาหารของกระหังก็เหมือนกับกระสือนั่นก็คือของสดๆ เน่าๆ แต่วิธีการเคลื่อนที่ของกระหังจะแตกต่าง เพราะกระหังจะใช้กระด้งฝัดข้าวติดกับแขน ส่วนที่ขาจะมีสากตำข้าวติดไว้ แล้วใช้ของเหล่านี้เพื่อให้บินได้ในเวลากลางคืน เชื่อกันว่ากระหังมักอยู่ตามชนบท การจะเห็นมันไม่ง่าย เพราะมันก็ไม่ได้อยากให้ใครเห็น กระหังเป็นผีที่เป็นมิตร เพราะมันไม่เคยทำร้ายใคร

ผีกระหังเป็นผียุคใหม่ที่ปรากฏในวัฒนธรรมไทยหลังผีกระสือ

ความเป็นมาของกระหังค่อนข้างแน่ชัดว่าใหม่กว่ากระสือ เพราะว่ากระหังไม่ปรากฏในกฎหมายตราสามดวง ซึ่งต่างกับกระสือ ดังนั้นกระหังอาจจะเป็นความเชื่อที่เกิดขึ้นในภายหลัง หรือว่ากระหังอาจจะ “ดัง” ไม่เท่ากับกระสือก็เป็นได้

ผีกระหังแสดงถึงวิถีชีวิตของคนไทยโบราณหลายประการ อาทิเช่น การใช้กระด้งข้าว และสากตำข้าวเป็นต้น

3. ผีปอบ

ปอบ (Pob) น่าจะเป็นผีที่ดังที่สุดแล้วก็ว่าได้ แทบทุกปีเราจะได้กินข่าวว่ามีคนเป็นปอบ หรือมีการจับปอบได้หลายพันตัวโดยพระสงฆ์ หรือพ่อมดหมอผี ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่านับอย่างไร

ภาคที่มีความเชื่อเรื่องปอบมากที่สุดน่าจะเป็นภาคอีสาน ปอบเหมือนกระสือตรงที่ชอบกินของดิบๆ เช่นเนื้อสด ปอบเป็นผีที่หิวโหยตลอดเวลา ไม่ว่าจะกินไปมากเท่าไร ปอบก็ยังคงต้องการกินต่อไป

สิ่งที่ต่างกับกระสือคือ ทั้งชายและหญิงสามารถเป็นปอบได้ ผู้ที่เป็นปอบจะถูกวิญญาณปอบเข้าสิง หรือไม่ก็ทำผิดอะไรสักอย่างทางด้านไสยศาสตร์ หลังจากนั้นวิญญาณปอบจะสั่งให้เจ้าของร่างไปกินของดิบๆ รวมไปถึงกินอวัยวะภายในของเจ้าของร่างด้วย เมื่อมันกินหมดสิ้นแล้ว เจ้าของร่างจะตายด้วยการนอนหลับ หรือที่เรียกกันว่า “ใหลตาย”

ผีปอบนี้จึงน่าจะเป็นคำตอบที่ชาวบ้านพยายามอธิบายว่า ทำไมคนในหมู่บ้านถึงนอนหลับแล้วตายไปเอง แต่ปัจจุบันวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายการ “ใหลตาย” ได้แล้วเป็นที่เรียบร้อย อาการดังกล่าวเกิดมาจากความผิดปกติของหัวใจนั่นเอง

เมื่อชาวบ้านคิดว่าใครเป็นปอปก็จะขับไล่ผู้นั้นออกจากหมู่บ้านไป ความเชื่อนี้ทำให้ศาสนาคริสต์สามารถเผยแผ่เข้าในอีสานได้หลายแห่งด้วยกัน เพราะบาทหลวงคริสเตียนและชาวคริสต์ไม่กลัวปอบ และยอมรับพวกที่ถูกกล่าวหาในอยู่อาศัยในชุมชนได้ ชุมชนอย่างบ้านสองคอนจึงเกิดขึ้นมาได้

ความเชื่อเรื่องปอบได้ถูกนำมาเป็นภาพยนตร์ ละคร หรือ ตลก หลายครั้งในยุคปัจจุบัน

4. กุมารทอง

กุมารทองเป็นผีที่ผู้มีเวทมนตร์คาถาปลุกวิญญาณดังกล่าวเอาไว้ใช้ กุมารทองเป็นผีเด็กผู้ชายที่ตายในท้องแม่ (ระหว่างคลอดลูก) พวกหมอผีจะไปผ่าศพนำศพทารกที่ตายมาย่างไฟทำพิธี แต่ต่อมาก็มีวิธีอื่นๆ อีกที่แตกต่างกันออกไป

ปัจจุบันความเชื่อกุมารทองยังคงอยู่ คนไทยจำนวนมากนำตุ๊กตารูปเด็กแบบไทยโบราณที่ผ่านพิธีกรรมมาบูชา ผุ้เลี้ยงจะต้องเสมือนว่ามีกุมารทองอยู่ในตุ๊กตาเหล่านั้น เลี้ยงตุ๊กตานี้ให้เหมือนลูกแท้ๆ คนหนึ่ง เช่นต้องบูชาด้วยน้ำแดง และเรียกให้กินข้าวทุกวัน กุมารทองจะตอบแทนด้วยการเตือนภัย ปกป้องเจ้าของ และเรียกสิ่งดีๆ มาให้

ตุ๊กตากุมารทอง Cr: Xufanc

ความเชื่อเรื่องกุมารทองปรากฏอยู่ในวรรณกรรมขุนช้างขุนแผน ซึ่งขุนแผนได้ทำการปลุกเสกกุมารทองจากลูกของนางบัวคลี่

5. เปรต

เปรต (Preta) เป็นผีที่ปรากฏในสังคมไทย แต่เปรตเป็นผีที่ไม่ใช่ผีไทยแท้ เพราะในศาสนาพุทธและพราหมณ์ก็กล่าวถึงเปรตเช่นกัน ความเชื่อเกี่ยวกับเปรตจึงเป็นความเชื่อทั่วไปในเอเชียเลยก็ว่าได้ รูปร่างของเปรตจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ความเชื่อของแต่ละภูมิภาค แต่ที่เหมือนกันคือ เปรตเป็นผีที่หิวโหยตลอดเวลา

ศาสนาพุทธจัดว่าเปรตเป็นภพภูมิหนึ่งใน 31 ภพภูมิ เปรตถือว่าเป็นอบายภูมิทั้ง 4 อันประกอบด้วย เดรัจฉานภูมิ เปตภูมิ นรกภูมิ และอสุรกายภูมิ คนไทยเชื่อกันว่าเปรตจะมีร่างกายผอมสูงมาก บางตัวสูงราวกับตึก ผู้ที่ไปเกิดเป็นเปรตคือผู้ที่ตายไประหว่างที่จิตกำลังมีความโลภ (โลภะ) เมื่อเกิดเป็นเปรตจึงหิวโหยอยู่ตลอดเวลา มันจึงต้องการการอุทิศส่วนกุศลและการแผ่เมตตาเพื่อที่จะบรรเทาความโหยของมันบ้าง

เปรตที่ดังๆ ของไทยมีอยู่สองที่ได้แก่ เปรตวัดสุทัศน์ ที่ว่าน่ากลัว แต่จริงๆ ที่มาของมันคือ รูปภาพเปรตบนฝาผนังอุโบสถเท่านั้น ส่วนความเชื่อที่เหลือคือ อุปาทานกันไปเองมาตั้งแต่สมัยโบราณจากการเห็นเสาชิงช้าสูงๆ ที่อยู่หน้าวัด เลยคิดว่าเป็นเปรตเท่านั้น

ปัจจุบันเปรตยังสามารถใช้เป็นคำด่าในภาษาไทยได้อีกด้วย

ทุกวันนี้ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ทำให้ความเชื่อเรื่องผีเหล่านี้ลดน้อยลงไป แต่ก็ยังมีผู้เชื่อถืออย่างจริงจังอยู่มากในหลายๆ ภูมิภาคของประเทศไทย

บทความการศึกษา

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!