ประวัติศาสตร์จุดจบของราชวงศ์เกาหลี เมื่อประวัติศาสตร์เกาหลีเปลี่ยนไปตลอดกาล

จุดจบของราชวงศ์เกาหลี เมื่อประวัติศาสตร์เกาหลีเปลี่ยนไปตลอดกาล

หลายๆท่านอาจจะได้ดูซีรีส์เกาหลีแนวย้อนยุคโบราณมาหลายเรื่อง เช่น แดจังกึมที่เป็นที่นิยมมากๆ ในประเทศไทย ซีรีส์เหล่านี้อาจจะเล่าถึงเหตุการณ์ในช่วงเวลาต่างๆ กันของประวัติศาสตร์เกาหลี แต่ที่ทำเป็นซีรีส์เกาหลีแนวย้อนยุคมากที่สุด คงไม่พ้นยุคราชวงศ์โชซอน (Joseon Dynasty)

ที่ทำเยอะก็เพราะมันใหม่กว่ายุคอื่น หลักฐานเหลือเยอะ ดังนั้นดราม่าและเรื่องราวต่างๆก็เยอะตามไปด้วย เช่น อีซุนซิน วีรบุรุษชาวเกาหลีก็อยู่ในยุคโชซอน

ราชวงศ์โชซอนนี้เองคือราชวงศ์เกาหลีราชวงศ์สุดท้ายในหน้าประวัติศาสตร์เกาหลีสามพันปี

แล้วทุกวันนี้ทำไมถึงไม่มีราชวงศ์โชซอนแล้ว?

ตราของราชวงศ์โชซอน ราชวงศ์สุดท้ายของเกาหลี

ปูมหลัง

การล่มสลายของโชซอนคล้ายกับการล่มสลายของโกคูรยอ อาณาจักรในอดีตของชาวเกาหลีในอดีตอย่างหนึ่ง นั่นก็คือถูกคุกคามจากศัตรูต่างชาติ

เรามาดูสภาพภูมิศาสตร์กันก่อน

อาณาจักรเกาหลีในสมัยราชวงศ์โชซอน (Joseon Dynasty) ครอบครองดินแดนในคาบสมุทรเกาหลีทั้งหมด ในต้นศตวรรษที่ 20 เราจะเห็นว่าเกาหลีอยู่ตรงกลางระหว่างสามมหาอำนาจนั่นก็คือ ราชวงศ์ชิงของจีน (Qing Empire), รัสเซีย (Russian Empire) และ ญี่ปุ่น (Japanese Empire)

เกาหลีอยู่ท่ามกลางสามมหาอำนาจ รัสเซีย จีน และญี่ปุ่น

หลายร้อยปีที่ผ่านมาก่อนศตวรรษที่ 19 โชซอนหรือเกาหลีซื้อความสงบสุขด้วยการเป็นรัฐบริวารของจีนในสมัยราชวงศ์หมิง และ ชิง ทุกอย่างก็ดูเรียบร้อยดี

ในศตวรรษที่ 16 ญี่ปุ่นต้องการเข้ามาขยายอำนาจเข้ามาในแผ่นดินใหญ่ ฮิเดโยชิส่งกองทัพเข้ามาตีเกาหลีถึงสองครั้งแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเพราะการช่วยเหลือของราชวงศ์หมิงของจีน และการต่อต้านอย่างแข็งแกร่งของชาวเกาหลีอย่างอี ซุน ซิน หลังจากนั้นญี่ปุ่นก็เข้าสู่ยุคปิดประเทศในสมัยของโชกุนตระกูลโตกุกาวะ เกาหลีจึงปลอดจากการคุกคามของญี่ปุ่นมานานสองร้อยกว่าปี

หากแต่ว่าในศตวรรษที่ 19 ดุลอำนาจในเอเชียตะวันออกได้เปลี่ยนแปลงไป เพราะจีน (ผู้คุ้มครองเกาหลี) อ่อนแอลงมากจากการแพ้สงครามกับชาวตะวันตก และยังมีเศรษฐกิจ การปกครอง และกองทัพที่ล้าสมัย จีนเองยังเอาตัวเองไม่รอด จะไปช่วยเหลือเกาหลีได้อย่างไร

ในขณะนั้นเกาหลีหรือโชซอนเองมีความวุ่นวายทางการเมืองและศาสนาภายใน มิหนำซ้ำการปกครองยังล้าหลัง รัฐบาลมีการคอรัปชั่นอย่างปกติทั่วไป กองทัพก็ล้าสมัยอย่างมาก

ส่วนญี่ปุ่นกลับมีกำลังเข้มแข็งเพราะการปฎิรูปประเทศที่ถูกทางในสมัยเมจิ (Meiji Restoration) ญี่ปุ่นได้เปลี่ยนสถานะตนเองเป็นมหาอำนาจ และเริ่มต้องการที่จะสร้างจักรวรรดิของตนเองเลียนแบบชาติตะวันตก

การเข้ามาของญี่ปุ่น

“เหยื่อ” รายแรกของญี่ปุ่นก็คือ โชซอนหรือเกาหลี เพราะว่าเป็นประเทศเล็กที่อ่อนแอ เกาหลียังเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่ญี่ปุ่นสามารถใช้เป็นหัวหาดในการตีชิงดินแดนอื่นๆต่อไปได้ เช่น จีน เป็นต้น

ในปลายศตวรรษที่ 19 ญี่ปุ่นเห็นความอ่อนแอของจีนจึงแผ่อำนาจเข้ามาในเกาหลีในรัชกาลกษัตริย์โกจง (Gojong of Joseon) ญี่ปุ่นได้ส่งกองเรือรบเข้ามาบีบบังคับให้เกาหลีเปิดเมืองท่าเพื่อเปิดรับพ่อค้าชาวญี่ปุ่น

กษัตริย์โกจง

โกจงทรงไม่มีทางเลือกจึงต้องลงนามในสัญญาที่ไม่เป็นธรรม (Unequal Treaties) กับญี่ปุ่น สนธิสัญญามีเนื้อหาว่าเกาหลีจะต้องเปิดเมืองท่าหลักๆ ทั้งหมดให้พ่อค้าญี่ปุ่น ยกเลิกการเป็นรัฐบริวารของจีนอย่างเป็นทางการ และยังสูญเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้กับชาวญี่ปุ่นอีกด้วย

ดังนั้นเกาหลีจึงตกอยู่ใต้อิทธิพลของญี่ปุ่น โกจงก็ไม่ได้ทรงอยู่เฉย พระองค์ทรงต้องการพัฒนากองทัพให้ได้อย่างญี่ปุ่น ในการพัฒนาดังกล่าว โกจงทรงจ้างที่ปรึกษาชาวญี่ปุ่นไว้หลายรายด้วยกัน แต่ทว่าการจ้างที่ปรึกษาดังกล่าวทำให้ชาวญี่ปุ่นมีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆ ในราชสำนักเกาหลี

ราชินีมินผู้ยิ่งใหญ่

ชาวเกาหลีรู้เจตนาของญี่ปุ่นดีที่ต้องการครอบครองบ้านเกิดเมืองนอนพวกตน ขุนนางและประชาชนเกาหลีจึงร่วมมือกันต่อต้านญี่ปุนอย่างเงียบๆ โดยมีหัวหน้าคือราชินีมิน (Queen Min) พระราชินีของกษัตริย์โกจง

ราชินีมินทรงเป็นสตรีผู้มีสติปัญญา พระนางทรงพยายามจะใช้นโยบายถ่วงดุลอำนาจ โดยการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีกับรัสเซียเพื่อใช้ป้องกันภัยจากญี่ปุ่น ในขณะเดียวกันก็พัฒนาประเทศไปพร้อมๆกัน

หากแต่ว่าในปี ค.ศ.1894 ได้เกิดกบฎตงฮักในเกาหลี รัฐบาลเกาหลีปราบพวกกบฎไม่ลงจึงไปขอกำลังจากจีน ราชสำนักชิงจึงส่งกำลังทหารไปช่วยเกาหลี การช่วยเหลือดังกล่าวทำให้ญี่ปุ่นกล่าวหาว่าจีนละเมิดสนธิสัญญาเทียนสินที่ทำไว้กับญี่ปุ่น

รัฐบาลญี่ปุ่นจึงเปิดสงครามกับจีน เกิดเป็นสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งแรก ในสงครามครั้งนี้จีนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ยับเยิน จีนต้องทำสนธิสัญญาชิโมโนเซกิยอมรับว่าเกาหลีอยู่ภายใต้อิทธิพลของญี่ปุ่น

สนธิสัญญาฉบับใหม่ทำให้เกาหลีอยู่ภายใต้อุ้งมือของญี่ปุ่นมากขึ้นไปอีก จีนเองไม่สามารถจะมาช่วยอะไรเกาหลีได้อีกแล้ว โกจงและราชินีมินจึงทรงโดดเดี่ยวไปยิ่งกว่าเดิม

อย่างไรก็ดีราชินีมินเองก็ยังไม่ยอมแพ้ พระนางยังหาวิธีต่อต้านญี่ปุ่นอย่างเงียบๆ และพยายามออกกฎหมายใหม่เพื่อปฏิรูปประเทศในทุกๆ ด้าน ตั้งแต่กองทัพ การศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ราชินีมินทรงพยายามกำชับความสัมพันธ์กับรัสเซียเพื่อหยุดการแผ่อำนาจของญี่ปุ่นเหนือเกาหลี

ราชินีมิน

การปฏิรูปและนโยบายต่างๆ ของราชินีมิน ทำให้ญี่ปุ่นเห็นว่าต้องกำจัดราชินีมินให้ได้ มิเช่นนั้นพวกตนจะไม่มีทางครอบครองเกาหลีได้ พวกขายชาติชาวเกาหลีก็เห็นว่าราชินีเป็นศัตรูของญี่ปุ่น ท้ายที่สุดแล้วญี่ปุ่นเองจึงทำการกำจัดราชินีมินด้วยวิธีการอันป่าเถื่อนที่สุด

ในปี ค.ศ.1895 เรื่องเศร้าที่สุดของราชวงศ์เกาหลีก็มาถึง และเหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ชาวเกาหลีเองก็ไม่มีวันลืม รัฐมนตรีญี่ปุ่นประจำเกาหลีได้ส่งบรรดาโรนินเข้ามาปลงพระชนม์ราชินีมินเสียถึงในพระราชวัง มิหนำซ้ำยังทำลายพระศพอย่างเหี้ยมโหดผิดมนุษย์มนา โกจงทรงมิอาจจะทำประกาศใดได้เลย นอกจากหลั่งน้ำพระเนตรอย่างเงียบๆ

เมื่อสิ้นราชินีมิน ก็ไม่มีสิ่งใดหยุดการก้าวเข้ามายึดครองเกาหลีของญี่ปุ่นไว้ได้ ญี่ปุ่นเข้ามาบีบบังคับให้โกจงปลดชาวเกาหลีออกจากตำแหน่งสำคัญๆ และให้ชาวญี่ปุ่นเข้ามารับตำแหน่งเหล่านี้แทน

โกจงคงจะประหลาดใจไม่น้อยแหละที่รอบตัวมีแต่คนญี่ปุ่น!

นอกจากนั้นในปี ค.ศ 1905 ญี่ปุ่นยังชนะสงครามกับรัสเซียอีก ทำให้อิทธิพลของรัสเซียที่ช่วยคานอำนาจหมดไปโดยสิ้นเชิง เมื่อปราศจากเสี้ยนหนามทั้งจีนกับรัสเซียแล้ว ญี่ปุ่นจึงใช้แผนการขั้นสุดท้ายทันที

สิ้นราชวงศ์เกาหลี

สองเดือนหลังจากที่ญีปุ่นเอาชนะรัสเซีย ญี่ปุ่นก็เข้ามาบีบบังคับให้โกจงยอมเซ็นสัญญาให้เกาหลีเป็นรัฐในอารักขา (Protectorate) ของญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ และให้ลดกองทัพเกาหลีเหลือเพียง 1,000 คน โดยญี่ปุ่นจะให้กองทัพญี่ปุ่นเข้ามาประจำการแทนเพื่อดูแลรักษาความปลอดภัย

โกจงทรงพยายามเฮือกสุดท้ายด้วยการนำเรื่องพฤติการณ์ของญี่ปุ่นสู่ประชาคมโลก แต่ก็ทรงล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เกาหลีไม่มีทางหลบหนีความจริงไปได้อีกแล้ว

ญี่ปุ่นจึงโต้ตอบการกระทำของโกจงด้วยการเข้ามาบีบบังคับให้โกจงสละราชสมบัติให้พระราชโอรสซุนจง ซึ่งโกจงก็ทรงทำอะไรไม่ได้ นอกจากต้องทำตามความต้องการของญี่ปุ่น

สามปีต่อมาวาระสุดท้ายของอาณาจักรเกาหลีและราชวงศ์โชซอนก็มาถึง เมื่อญี่ปุ่นร่างสนธิสัญญาฉบับใหม่ โดยสนธิสัญญาฉบับนี้จะให้ญี่ปุ่นปกครองเกาหลีโดยตรงและสมบูรณ์ (Full Annexation) และล้มเลิกราชวงศ์โชซอนเสีย

ซุนจงทรงปฎิเสธที่จะลงพระนามในสนธิสัญญาอัปยศดังกล่าว ญี่ปุ่นจึงไปให้นายกรัฐมนตรี ลีวันยง ผู้ขายชาติเป็นผู้ลงนามแทน แล้วรัฐบาลญี่ปุ่นจึงบังคับใช้สนธิสัญญาดังกล่าวเหนือดินแดนเกาหลี โดยซุนจงทรงไม่สามารถทำอะไรได้เลยเช่นเดียวกับพระบิดา

ราชวงศ์โชซอนที่มีอายุ 519 ปีจึงสิ้นสุดลงในสมัยซุนจง และเกาหลีก็ตกเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่นโดยสมบูรณ์ สถาบันกษัตริย์และราชวงศ์เกาหลีที่มีมาสองสามพันปีก็ถึงกาลอวสาน

อย่างไรก็ดีญี่ปุ่นอนุญาตให้ซุนจงประทับในพระราชวังต่อไปจนกระทั่งสวรรคต (แต่ในฐานะกึ่งๆนักโทษ) เชื้อพระวงศ์โชซอนบางคนก็เข้ารับราชการในรัฐบาลและกองทัพญี่ปุ่นในช่วงที่เกาหลีถูกยึดครอง ภายหลังก็ได้เข้าไปอยู่อาศัยในญี่ปุ่นเกือบทั้งหมด รวมไปถึงแต่งงานกับชาวญี่ปุ่นด้วย

ซุนจง กษัตริย์พระองค์สุดท้ายของโชซอน พระองค์ปฏิเสธที่จะลงนามในสนธิสัญญาอัปยศ

เกาหลีตกเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่นอยู่นาน 35 ปี จนกระทั่งญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 เกาหลีก็กลับเป็นอิสระอีกครั้งหนึ่งแต่ก็แบ่งออกเป็นเหนือใต้มาจนถึงปัจจุบัน

เชื้อพระวงศ์โชซอนหลายพระองค์ต่างเรียกร้องขอให้รัฐบาลเกาหลีใต้อนุญาตให้พวกตนกลับเกาหลี ในช่วงแรกนั้นพวกเขาถูกปฎิเสธจากรัฐบาลเกาหลีใต้อย่างสิ้นเชิง จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1970 หรือ 60 ปีหลังจากราชวงศ์โชซอนถูกล้มล้าง พวกเขาจึงได้รับอนุญาตให้กลับเกาหลีใต้ได้อีกครั้งหนึ่ง

บทความการศึกษา

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!