ประวัติศาสตร์ยุทธการเอเดรียโนเปิล: เมื่อพวกโรมันแพ้ยับเพราะคอรัปชั่นและความอิจฉา

ยุทธการเอเดรียโนเปิล: เมื่อพวกโรมันแพ้ยับเพราะคอรัปชั่นและความอิจฉา

ในศตวรรษที่ 4 จักรวรรดิโรมันได้แบ่งออกเป็นสองส่วน ได้แก่ฝั่งตะวันตก (Western Roman Empire) และฝั่งตะวันออก (Eastern Roman Empire) อาณาจักรทั้งสองมีจักรพรรดิของตนเอง และมีความเป็นอิสระแก่กัน แต่ถ้ามีปัญหาก็ช่วยเหลือกันอยู่เนืองๆ

ช่วงเวลานั้นภัยที่คุกคามทั้งสองอาณาจักรคือ ภัยจากเหล่าอนารยชนที่รุกรานชายแดนอยู่บ่อยครั้ง การผลักดันด้วยกำลังทหารจึงเกิดขึ้นอยู่ร่ำไป และในครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ฝ่ายโรมันพยายามผลักดันพวกอนารยชนด้วยกำลังทหาร จนเกิดเป็นการต่อสู้ใกล้กับเอเดรียโนเปิล (ปัจจุบันคือเมือง Edirne อยู่ในประเทศตุรกี)

เรามาดูกันว่าอะไรเกิดขึ้นกันแน่?

การขอเข้ามาอาศัย

ในปี ค.ศ.376 กองทัพชาวฮั่น (Huns, ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับราชวงศ์ฮั่นของจีน) ได้เข้ารุกรานที่อยู่อาศัยเดิมของพวกชนเผ่าหลายชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในยุโรปตะวันออก หนึ่งในพวกที่ถูกรุกรานคือชนเผ่าที่เรียกว่ากอธ (Goths) ที่นำโดยเฟรไทเกิน (Fritigern) ไม่มีทางเลือกอื่น พวกเขาจึงขอเข้ามาอาศัยในจักรวรรดิโรมันตะวันออก

แวเลนส์ (Valens) จักรพรรดิของฝั่งตะวันออกที่เพื่งได้ครองบัลลังก์ใหม่ๆเห็นว่าพวกกอธมาดี พระองค์จึงอนุญาตให้พวกกอธที่อยู่ในการควบคุมของเฟรไทเกินอาศัยอยู่ที่บริเวณชายแดนของจักรวรรดิได้ การรับพวกอนารยชนจริงๆ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยในช่วงศตวรรษที่ 4 เพราะก่อนหน้านี้ก็มีกลุ่มที่ขอเข้ามาอาศัยแล้วหลายกลุ่ม และพวกนี้ก็ทำตัวดีเป็นชาวนาที่จ่ายภาษี และยังเป็นทหารให้จักรวรรดิด้วย พวกอนารยชนเหล่านี้มีชื่อเรียกว่า Foederati

รูปปั้นของบุคคลที่เชื่อว่าคือ แวเลนส์

ช่วงนั้นแวเลนส์ไม่ได้อยู่ที่คอนแสตนติโนเปิล เมืองหลวงของอาณาจักร แต่แวเลนส์นำกองทัพไปปราบกบฏ และเตรียมจะยกไปทำศึกอยู่กับอาณาจักรแซซานิด (Sassanid Empire) แวเลนส์จึงอยู่ห่างไกลจากพวกกอธที่กำลังเข้ามาอาศัยในฝั่งยุโรปของอาณาจักรเป็นอย่างยิ่ง

ฝ่ายพวกกอธ เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว เฟรไทเกินจึงนำชนเผ่าของพวกเขาข้ามแม่น้ำดานูบเข้ามาอาศัยในดินแดนโรมัน จำนวนพวกกอธที่ข้ามแม่น้ำมามีจำนวนถึงหนึ่งล้านคน ในทั้งหมดนี้มีพวกกอธสองแสนคนที่เป็นทหารที่สามารถต่อสู้ได้ จำนวนของพวกเขาจึงเรียกได้ว่ามหาศาล

เดิมทีตอนที่พวกกอธมาขออนุญาต แวเลนส์อนุญาตให้พวกกอธของเฟรไทเกินเท่านั้นที่เข้ามาอยู่อาศัยได้ แต่พอเอาเข้าจริงพวกกอธอื่นๆอย่างพวกออสโธกอธ (Ostrogoths) และเผ่าอย่างพวก Alans อีกจำนวนมหาศาลได้สวมรอยข้ามแม่น้ำดานูบมาด้วย ทำให้จำนวนพุ่งขึ้นไปเป็นหนึ่งล้านคน

ด้วยความที่กองกำลังส่วนใหญ่ที่มีฝีมือติดตามแวเลนซ์ไปทำสงครามในฝั่งตะวันออก ทำให้พวกโรมันเหลือแต่ทหารรักษาชายแดนแบบ limitanei ที่ไม่ใช่เป็นทหารที่ออกไปต่อสู้จริงๆ แต่เป็นตำรวจรักษาความสงบเสียมากกว่า แถมยังมีไม่ถึงหมื่นคนด้วย

ดังนั้นพวกโรมันจึงไม่อาจหยุดพวกชนเผ่าอื่นๆที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาได้ และนี่เองทำให้อีกไม่นานก็เกิดเรื่อง

คอรัปชั่น

การควบคุมดูแลพวกที่เข้ามาใหม่อยู่ในการควบคุมดูแลของ ฟาวิอุส ลูปิชินุส (Flavius Lupicinus) แวเลนส์ได้สั่งให้เขาทำการปลดอาวุธพวกชนเผ่าที่เข้ามาทั้งหมด แต่ลูปิชินุสกลับไม่ทำเช่นนั้น เขาปลดอาวุธเฉพาะพวกชนเผ่าที่ไม่มีเงินจ่ายสินบนให้กับเขาเท่านั้น ส่วนพวกที่มีเงินจ่ายก็เก็บอาวุธของตนเองไว้ได้ต่อไป

ต่อมาลูปิชินุสยังขึ้นราคาค่าอาหารของพวกกอธหลายเท่า เพื่อที่จะนำส่วนต่างเข้ากระเป๋าของตนเอง พวกกอธที่หนีตายมาก็ไม่ได้มีทรัพย์สินเงินทองมากมายอยู่แล้ว เมื่อต้องมาจ่ายค่าอาหารแพงๆ เช่นนี้อีก ทำให้แต่ละคนสิ้นเนื้อประดาตัว ความฝันที่คิดว่าจะอยู่ในดินแดนโรมันเงียบๆ เริ่มจะพังทลาย

ฝ่ายโรมันเห็นพวกกอธและชนเผ่าอื่นๆ เริ่มจะไม่พอใจจึงสั่งให้เฟรไทเกินนำชนเผ่าทั้งหมดไปยังเมือง Marcianople บริเวณที่จัดเตรียมไว้เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกชนเผ่า เฟรไทเกินรับคำและนำพวกชนเผ่าต่างๆ ไปตามคำสั่งทันที

ที่เมืองดังกล่าว ลูปิชินุสคนเดิมได้เชิญเฟรไทเกินและหัวหน้าเผ่าคนอื่นๆ ที่ติดตามเข้ามาด้วยมายังงานเลี้ยงเพื่อเจรจาต่อรอง แต่งานเลี้ยงเป็นเพียงฉากบังหน้า ลูปิชินุสได้ดักซุ่มทหารไว้เพื่อลอบสังหารเฟรไทเกินและหัวหน้าคนอื่นๆของพวกชนเผ่า

ความพยายามของเขาล้มเหลว เฟรไทเกินและหัวหน้าเผ่าคนอื่นๆ หลบหนีไปได้ พวกเขาเห็นว่าสันติภาพกับพวกโรมันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว พวกกอธและพวกชนเผ่าอื่นๆจึงประกาศสงครามกับพวกโรมัน

ลูปิชินุสพยายามนำกำลังที่ตนมีอยู่เข้าปราบพวกชนเผ่า ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างหนัก แต่สุดท้ายจำนวนที่มากกว่าของพวกกอธและชนเผ่าอื่นๆ ก็ทำให้พวกโรมันพ่ายแพ้ยับเยิน

หลังจากนั้นพวกกอธและชนเผ่าอื่นๆ จึงเข้าปล้นสะดมหลายแห่งที่ไม่มีกำลังทหารโรมันรักษาการณ์อยู่ ความวุ่นวายและความเสียหายเกิดขึ้นอย่างมากในดินแดนฝั่งยุโรปของอาณาจักรโรมันตะวันออก

ความอิจฉา

กองทัพโรมันพยายามสกัดกั้นพวกกอธและชนเผ่าไม่ให้บุกเข้ามาลึกได้เป็นผลสำเร็จ พวกชนเผ่าเองเมื่อเจอกับป้อมปราการของพวกโรมันก็ไม่สามารถทำอะไรได้เช่นเดียวกัน สถานการณ์ในฝั่งนี้จึงอยู่ในสภาพชะงักงัน

แวเลนส์ต้องการนำกองทัพกลับไปฝั่งตะวันตกตั้งแต่เกิดปัญหาแรกๆ แล้ว แต่ด้วยความที่อยู่ไกลมากถึงซีเรีย และสู้รบติดพันอยู่กับพวกกบฏ ทำให้กว่าแวเลนส์จะกลับมาถึงคอนแสตนติโนเปิลก็ปี ค.ศ.378 แล้ว แวเลนส์จัดเตรียมกองทัพและยกขึ้นเหนือไปใกล้กับจุดที่พวกชนเผ่าอยู่ในทันที

ด้วยความที่เห็นว่าพวกชนเผ่ามีกำลังมาก แวเลนส์จึงขอความช่วยเหลือไปยัง เกรเชียน (Gratian) หลานชายวัย 19 ปีของแวเลนส์ที่เป็นจักรพรรดิแห่งฝั่งตะวันตก เกรเชียนก็รับปากว่าจะช่วย แต่ขอให้แวเลนส์รอก่อน เพราะกองกำลังของเขากำลังต่อสู้อยู่กับพวกชนเผ่าอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังบุกรุกผ่านทางแม่น้ำไรน์ แวเลนส์จึงตั้งทัพรออยู่

เกรเชียน Cr: York Museum

เกรเชียนปราบพวกชนเผ่าราบคาบได้สำเร็จ และเร่งนำกำลังมาช่วยแวเลนส์ แต่เมื่อแวเลนส์ได้ยินข่าวชัยชนะของเกรเชียนจึงรู้สึกอิจฉา เขาต้องการชัยชนะของตนเองบ้างเพื่อที่จะมีชื่อเสียงทัดเทียมกับเกรเชียน

จักรพรรดิฝั่งตะวันตกเอาชนะศัตรูได้ แล้วจักรพรรดิแห่งตะวันออกจะไร้ผลงานได้อย่างไร นั่นเป็นสิ่งที่กดดันแวเลนส์

ถึงแม้ว่าจะได้รับคำโต้แย้งอย่างหนักจากนายทหารใต้บังคับบัญชา แวเลนส์จึงตัดสินใจเข้าตีพวกกอธและชนเผ่าอื่นๆ โดยที่ไม่รอเกรเชียน ในวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.378 กองทัพของแวเลนส์จึงเดินหน้าไปยังจุดที่พวกชนเผ่าตั้งทัพรออยู่ที่เอเดรียโนเปิล

ถ่วงเวลา

เดือนสิงหาคมเป็นเดือนที่ร้อนมากในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน กองทัพโรมันจึงต้องเดินทัพไปด้วยความร้อนเป็นเวลาหลายกิโลเมตร ส่วนพวกกอธและพันธมิตรตั้งทัพอยู่บนยอดเขารอพวกโรมัน นอกจากนี้เฟรไทเกินยังนำเกวียนจำนวนมากมาเป็นแนวป้องกันอีกชั้นหนึ่งด้วย

ตัวอย่างเครื่องแต่งกายทหารโรมันใน ศตวรรษที่ 4 สังเกตว่าอาวุธและโล่เปลี่ยนไปมากแล้วจากยุคก่อนๆ Cr: Medium69

ในวันนั้นกำลังทหารของทั้งสองฝ่ายมีใกล้เคียงกัน กองทัพโรมันมีกำลังประมาณ 20,000 คน (บ้างว่ามากถึง 30,000 คน) ส่วนพวกกอธและพันธมิตรมีน้อยกว่าแต่ก็ใกล้เคียงกัน นั่นก็คือ 15,000-20,000 คน ทั้งสองฝ่ายมีกองทหารราบเป็นแกนหลักเหมือนกัน โดยมีกองทหารม้าเป็นหน่วยคอยสนับสนุน

เฟรไทเกินพยายามถ่วงเวลาฝ่ายโรมันด้วยการประนีประนอม เพราะกองทัพโรมันจะได้เหนื่อยอ่อนจากในอากาศที่ร้อนจัด ส่วนพวกตนก็พักรออยู่ในค่าย เฟรไทเกินยังได้แอบสั่งให้ทหารของตนเผาหญ้าโดยรอบเพื่อรมทหารโรมันที่ตั้งทัพอยู่ด้วยควันเพื่อที่จะได้เหนื่อยอ่อนมากขึ้นไปอีก

แต่เจตนาจริงๆ ของเฟรไทเกิน คือเขาต้องการถ่วงเวลารอกองทหารม้าของเขาที่ได้ออกไปสรรหาเสบียงก่อนหน้านี้ต่างหาก

ยุทธการแห่งเอเดรียโนเปิล

สุดท้ายกองทัพโรมันส่วนหนึ่งที่ทนไม่ไหวจึงเข้าโจมตีกองกำลังฝ่ายชนเผ่าโดยปราศจากคำสั่งจากแวเลนส์ พวกทหารโรมันคิดว่าพวกกอธน่าจะกระจอก ไม่น่าจะเอาชนะพวกตนได้ ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดถนัด

เมื่อได้ต่อสู้กันจริงๆ พวกโรมันกลับพบว่าข้าศึกที่ต่อสู้อยู่กับตนนั้นไม่ได้อ่อนแอ กองทหารราบฝ่ายกอธสามารถตั้งยันกองทัพโรมันได้อย่างเข้มแข็ง พวกโรมันพยายามเข้าโอบล้อมค่ายของพวกกอธจากทุกทิศทาง แล้วเข้าระดมตีแต่ตียังไงก็ตีไม่แตก ปีกซ้ายพวกโรมันยกเข้าไปในไกลถึงบริเวณแนวเกวียนที่เฟรไทเกินตั้งไว้ แต่ก็ยังเจาะแนวต้านทานที่แข็งแกร่งไม่ได้อีก พวกโรมันจึงเริ่มปั่นป่วนเพราะว่าศัตรูที่คิดว่าจะกระจอกกลับไม่กระจอกเสียแล้ว

ช่วงเวลานั้นเอง กองทหารม้าของเฟรไทเกินก็กลับมาถึง และเข้าตีกระหนาบหลังของพวกโรมัน ทหารม้าโรมันเป็นฝ่ายแตกก่อน และหนีพวกกอธไปอย่างชุลมุน ทิ้งให้พวกทหารราบอยู่อย่างโดดเดี่ยว

เฟรไทเกินเห็นเป็นโอกาสทองจึงทุ่มกำลังเข้าโจมตีทุกด้าน กองทหารราบโรมันจึงแตกหนีไปคนละทิศคนละทาง พวกเขาพยายามรวมตัวกันใหม่แต่ก็ไม่เป็นผล ทหารม้าฝ่ายกอธได้ไล่ฆ่าฟันพวกโรมันล้มตายเป็นจำนวนมาก

ไม่มีใครทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับแวเลนส์ แต่เขาไม่รอดชีวิตจากยุทธการครั้งนั้น แวเลนส์ถูกทิ้งโดยทหารองครักษ์ของเขา บ้างว่าเขาตายโดยทหารกอธยิงธนูเข้าใส่ บ้างว่าเขาหนีไปอยู่ในกระท่อมและถูกทหารกอธตามมาเผาทิ้ง เพราะไม่ทราบว่าแวเลนส์อยู่ในนั้น

แวเลนส์ไม่ได้รับการจัดงานศพอย่างถูกต้องตามประเพณี เพราะว่าไม่มีใครหาร่างของเขาพบ ร่างของเขาจึงปะปนอยู่กับทหารโรมันจำนวน 15,000-20,000 คนที่พลีชีพลงที่เอเดรียโนเปิลนั่นเอง

ผลที่ตามมา

พวกกอธที่ได้รับชัยชนะพยายามจะบุกไปยังเมืองเอเดรียโนเปิล แต่กลับถูกต้านทานเอาไว้ได้ ต่อมาพวกกอธถูกผลักดันให้ขึ้นเหนือไปโดยกองกำลังของเกรเชียนและธีโอดอซิอุส (Theodosius) จักรพรรดิฝั่งตะวันออกคนใหม่ ทั้งสองฝ่ายเจรจาสันติภาพในปี ค.ศ.392 ทำให้สงครามยุติลง

ความพ่ายแพ้ดังกล่าวเป็นการประจานความอ่อนแอของกองทัพโรมันให้พวกอนารยชนอย่างชัดเจน หลังจากนั้นจักรวรรดิโรมันทั้งสองจึงต้องพึ่งพิงพวกอนารยชนในกองทัพของตนมากกว่าเดิม กองทัพโรมันแบบเดิมๆที่เคยเกรียงไกรจึงกลายเป็นอดีตไปเสียแล้ว

เมื่อศักยภาพทางทหารของพวกโรมันอ่อนแอลง พวกชนเผ่าต่างๆก็ปราศจากการกลัวเกรงอีกต่อไป หลังจากนั้นการรุกรานของพวกชนเผ่าก็เพิ่มมากขึ้นเป็นดอกเห็ด จนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้จักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายในปี ค.ศ.476 ส่วนจักรวรรดิฝั่งตะวันออกรอดมาได้จนกระทั่งล่มสลายในปี ค.ศ.1453

บทความประวัติศาสตร์

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!